ทริปเดินทาง

รีวิว :: ทริปเต้าเฉิง-ย่าติง(2-7/11/2016) PART4:ตอนจบ (LOST HORIZON กับ ขอบฟ้าที่หายไป)

เต้าเฉิง ย่าติง

央迈勇 ยางไม่หย่ง ชื่อนี้เป็นชื่อของเทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษา “ย่าติง” ที่อยู่ด้านในสุด และรอบๆ พื้นที่ของ ยางไม่หย่ง นั้น มีจุดหมายปลายทางสำหรับนักเดินทางสู่ย่าติงอีกสองสถานที่ นั่นก็คือ “牛奶海-ทะเลสาบน้ำนม” กับ “五色还-ทะเลสาบห้าสี่” เป็นเส้นชัยของนักเดินทางที่มุ่งมาสู่ “ย่าติง” เลยก็ว่าได้

เต้าเฉิง ย่าติง
จุดสตาร์ทของเรา หนทางมู่งสู่ทะเลสาบน้ำนมอยู่ข้างหน้าเราแล้ว !

จุดเริ่มต้นหลังจาก รถอุทยาน(เสียเงินเพิ่ม) มาส่งเรา ณ จุดออกเดินทาง ก็คือ “ทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวรั่วหลง” ตามชื่อเป๊ะๆเลยครับ มีไว้เลี้ยงดูปูเสื่อเหล่า จามรีหน้าขนของเรา บริเวณทุ่งหญ้า ณ เวลาต้นเดือน 11 นั้นก็ได้เปลี่ยนสีจาก เขียว เป็น เหลือง จากหญ้าอ่อนก็เปลี่ยนเป็นหญ้าแก่ (อย่าคิดลึกนะครับ) หญ้าเหลืองๆ แก่ๆ ดูแล้วสวยดี

เต้าเฉิง ย่าติง
บริเวณทุ่งหญ้า บางจุดน้ำขังตอนเช้าได้กลายเป็นน้ำแข็งด้วยนะครับ
จากทุ่งหญ้าจะมองเห็น “ยางไม่หย่ง” อยู่ไกลๆ

ด้านหน้ามองเห็น “ยางไม่หย่ง” หันหลังกลับมาก็จะเห็น “เซี่ยนั่วตัวจี๋” มีเทพล้อมหน้าล้อมหลังเราเลยครับ

หันกลับไปมองด้านหลังก็ยังสวยเสมอ
ในจุดแรกๆ เราอาจจะยังมองไม่เห็นเหล่าจามรี ต้องเดินไปสักพักนะครับ

เมื่อเดินมาสักพักหนึ่ง แอดมินก็เริ่มมองเห็นเหล่า จามรี ที่แสนน่ารัก ทุ่งหญ้าบางจุด อาจมีบ่อน้ำที่เรามองไม่เห็นนะครับ เดินระมัดระวังด้วย ปกติท่ามีคนเลี้ยงวัวอยู่ เขาจะไม่ให้นักท่องเที่ยวลงมา กลัวลื่นล้มบาดเจ็บ หรือ จามรีวิ่งไล่

แต่แอดมินเป็นคนพื้นที่ ทุกที่(เป็นคนทุกที่ครับ) จึงค่อยๆดุ่มๆเข้าไปหาน้องจามรี 
ปล.คือตัวผมเคยชินกับมันมาพอสมควรแล้วครับ

มีอยู่เยอะแยะมากมายเต็มพื้นที่ทุ่งหญ้าเลยครับ
ทุ่งหญ้ากินพื้นที่หลายตารางกิโลเมตรอยู่เหมือนกันครับ

จามรีมีนิสัยชอบอาศัยรวมอยู่กันเป็นฝูง อย่าเข้าไปเล่นกับตัวที่อยู่เดี่ยวๆ มากก็พอครับ

เมื่อเราเข้าไปใกล้ๆ มันก็จะเดินหนีโดยอัตโนมัติครับ

และแล้วเมื่อถ่ายภาพจนพอใจ เราก็ได้ร่ำลาทุ่งหญ้าแห่งนี้เพื่อเดินทางมุ่งหน้าเข้าไปสู่ “ทะเลสาบน้ำนม”

เส้นทางมีป้ายบอกทางด้วยนะครับ “หินมันชี้ว่าขึ้นข้างบน” !!!!!

บนเนินเขาแรก ทุกๆคนยังพร้อมเพรียงกัน

ภาพนี้เป็นเนินเขาแรกครับ ยังมีแรงกันอยู่ทุกคนครับ

บรรยากาศตามทางเดิน คล้ายๆอย่างเดิมทุกๆภาพครับ(สวย)
เมื่อหันหลังกลับไปมอง ฝูงจามรีก็จะอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ ครับ

***ในเรื่องของการเช่าลานั่งไปนะครับ ถ้าคิดว่าไม่ไหวขอแนะนำให้เช่าไปกลับจากจุดขึ้นลาด้านล่าง บริเวณทุ่งหญ้า ราคา : ไป-กลับ 500-600 หยวน ดีกว่าจะเดินขึ้นไปแล้วขากลับไปหาเอา เพราะจะโดนโก่งราคา กลับอย่างเดียว 500-600 หยวนได้ครับผม***

ระยะห่างจากตีนภูเขาก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
ขณะเวลา 11.00 น. ตามข้างทางยังมีน้ำแข็งให้เห็น
เวลาใกล้เที่ยง ถึงแม้เมื่อคืนหิมะจะตกลงมา แต่ยิ่งเดินยิ่งร้อนเพราะเราขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆครับ
เพื่อนร่วมเดินทางระหว่างทางไป “ทะเลสาบน้ำนม”

ณ จุดๆนี้จากภาพด้านบนนะครับ พี่อ้วนคนนี้ เขาเดินจนถึงทะเลสาบน้ำนม ทั้งๆที่ นน.พี่เขา 98 กก. แต่เพราะทุกๆคนที่มากับเขาบอกว่า คุณเดินไปไม่ถึงหลอก ส่วนอาเจ้เสื้อม่วงมากับลูกสาว ลูกสาวยอมแพ้ไปแล้ว อาเจ้แกเดินไปอีกนี๊ดเดียวก็เดินกลับแล้วครับ เรื่องแบบนี้ไม่อยู่ที่เหตุผลใดๆ นอกจากอยู่ที่ใจที่ไม่ยอมแพ้ครับ

เห็นภูเขาลูกนั้นแสดงว่าเราใกล้ถึงแล้วครับ อีกประมาณ 1500 เมตร ระยะทางจาก Google นะครับ
มุมนี้เป็นมุมยอดฮิต ที่มีหน้าผาหินยื่นออกไป
มุมเต็มๆจะเห็นภูเขาหิมะเป็นแบล็คกราวน์ด้วยนะครับ

ขอระบายนิดนึงครับ ทั้งสองภาพบนนี้ใช้เวลาถ่ายห่างกันหลายนาทีมากๆ ไอ้ตัวที่มันยืนอยู่ไม่ใช่แอดมินอยากถ่ายมันนะครับ มันไม่ไปไหนเลย ยึดที่กางมือแบบนี้อยู่ประมาณ 30 นาที (มีคนแบบนี้สังคมอยู่ยากนะครับ(=3=))

ยิ่งเดินไปยิ่งรู้สึกว่าประอาทิตย์มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ความสูง ณ จุดที่แอดมินยืนอยู่ตลอดรายทางก็เกิน 4100 เมตร ลากยาวขึ้นไปถึง 4200 เลยครับ
ไอ้ตัวเดิม ขนาดเดินจากระยะไกลๆ ผ่านมันขึ้นไปสูงๆ มันก็ยังยืนแยกมือไม่เลิก สงสารเพื่อนมันจับใจ

พอเดินผ่านผาหินเมื่อตะกี้ไปแล้วระยะทางก็อีกราวๆ 800 เมตร แต่บอกเลยครับ ยิ่งเดินยิ่งสวย 

ก้อนเมฆเหมือนจะลอยลงมาเลย
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆแล้วครับ
ตีนเขาลูกนั้นเป็นที่ตั้งของ “ทะเลสาบห้าสี่” นะครับ
ด้านข้างเป็นเนินเขาอันเป็นที่สถิตของ “ทะเลน้ำนม”

จากภาพด้านบนนะครับ พอแอดมินหมุนหัวกลับไปมองด้านข้างๆเท่านั้นครับ ในใจนี่คิดเลยครับ

ทะเลสาบน้ำนม ที่ร่ำลือกันมานานนม

นึกเลยครับ “มาทำไมวะเนี่ย” *-* เหนื่อยโค้ดๆ มาดูทะเลสาปเนี่ยนะ แต่เอาเข้าจริงๆ พอกดชัตเตอร์มือถือปั้ป มาดูอีกรอบ เออแฮะก็สวยดี อย่าให้ความเหนื่อยมาทำลายอารมณ์เราสิ

ภาพแบบเต็มตัวของทะเลสาบน้ำนมนะครับ สีเหมือนนมรสชาติใดกันเอ่ย
ย้ำอีกทีนะครับ ภาพนี้ซ่อนทะเลสาบห้าสีไว้ในจุดที่มองไม่เห็น
บรรยากาศข้างๆทะเลสาบน้ำนม สวยมากแต่ ณ เวลานั้น เหนื่อยและหิวครับ
ก่อนจากลาทะเลสาบน้ำนม

คำเตือนสำหรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน “กรุณานำของกินติดใส่กระเป๋าให้มากเท่าที่เราจะทำได้” เพราะด้านในไม่มีของกินขายนะครับ

ยางไม่หย่ง แอดมิน ขอพูดว่าอย่าไปใส่ใจกับจุดหมายที่เราจะไปเยือน แต่อยากให้ใส่ใจกับบรรยากาศระหว่างการเดินทางมากกว่าครับ ยิ่งถ้าเราไปกับเพื่อนๆเรากลุ่มใหญ่ๆมันจะสนุกมากเลยทีเดียว

บริเวณนี้เป็นทางเดินที่จะเดินไปสู่ “ทะเลสาบห้าสี”

จุดนี้จะมีทางแยกที่เป็นเส้นทางเดินเข้าไปสู่ “ทะเลสาบห้าสี” โดยระยะทางตามป้ายคือ 500 เมตร แต่เป็น 500 เมตร ที่ไม่นับทางขึ้นเขานะครับ ต้องเดินผ่านเนินสุดโหด แอดมิน และ คณะยอมแพ้ มิใช่เพราะอะไร เพราะรองเท้าแตะแอดมินมันสั่นแล้วครับ ว่าจะไม่รอดกลับไป จงยอมซะถ้าไม่อยากเดินตีนเปล่ากลับบ้าน T-T ทริปนี้เลยไม่มีรูปทะเลสาบห้าสีนะครับ (ได้ยินว่าสวยเหมือนน้ำที่จิ่วไจ้โกว) ทุกๆคนเลยบอกงั้นไปจิ่วไจ้โกวอีกรอบเหอะ !

จุดพักผ่อนบริเวณ “ทุ่งหญ้ารั่วหลง”

เนื่องด้วยแอดมิน วิ่งกลับอย่างไวและไม่มีที่นั่งรอที่กันลมหนาวได้ แอดมินจึงหลบมานั่งในทีสบายๆ จิบน้ำราคาโหดๆสักขวดให้ชื่นใจ

รถรับส่งบริเวณ “ทุ่งหญ้ารั่วหลง” ไปยังหน้าปากทางเข้าอุทยาน

เวลาประมาณ 16.00 น. ทุกๆคนก็กลับมาถึงจุดขึ้นรถ 

พี่ช้างยิ้มร่าเลยครับได้กลับห้องไปนอนแล้ว

แต่อย่าคิดว่ามันจะจบเพียงเท่านี้นะครับสำหรับย่าติง หึหึหึ แอบหัวเราะอยู่ในใจ

หนทาง ขณะเดินทางกลับทุกๆคนรู้สึกว่า การเดินทางได้จบลงแล้ว
บริเวณ “ทุ่งหญ้าชงกู่” มีความสวยงามจนคนเข้าใจผิดเป็น “ทุ่งหญ้ารั่วหลงอยู่เป็นประจำ
น้ำบริเวณ “ทุ่งหญ้าชงกู่” นั้นใสและสวยงามมาก

ทุ่งหญ้าชงกู่-冲古草甸 เป็นทุ่งหญ้าบริเวณตีนเขาของวัดชงกู่ ซึ่งจะมีเหล่าจามรีอยู่ฝูง อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก


เช้าวันที่ 5 ของการเดินทาง หรือ ก็คือ วันที่ 3 ในย่าติง ทุกๆคนก็ได้เก็บสัมภาระกันเสร็จเรียบร้อยพร้อมด้วย ร่างกายที่เหนื่อยล้า ขาสั่นดิ้กๆๆ แอดมินจึงทำเรื่องคืนห้อง แล้วทำเซอร์ไพร์ ว่าจะพาไปซ่อมในวันแรกที่พี่ๆ ไปไม่ถึง “เซี่ยนหน่ายรื่อ” กว่าจะหว่านล้อมให้ยอมไปซ่อมกันได้ก็เหนื่อยเลยครัย ทำไงได้เวลามันเหลือนิ !

บรรกาศแปลกๆ กับวันสุดท้ายในย่าติง

วันสุดท้ายในย่าติง อากาศไม่ดีแต่เช้าเลยครับ เพราะว่าอีกสองวันหิมะชุดใหญ่จะมาเยือนย่าติงแล้ว 

การเดินขึ้นไปชม “เซี่ยนหน่ายรื่อ” ก็เหมือนกับวันแรกครับ
แต่ตัวแอดมินเดินย้อนซ้อนไปวัดชงกู่ก่อนครับผม

ที่วัดชงกู่ ยังมีสิ่งดีๆที่เรียกว่า “ศรัทธา” หลงเหลืออยู่นะครับ ผู้เฒ่าผู้นี้ยังทำการเคารพธรรมชาติตลอดทาง

ทางเดินบริเวณวัดชงกู่ จะเป็นหน้าผาด้านนึงตลอดทางนะครับ

การชื่นชมความสวยงามของ “วัดชงกู่” ขอแค่ด้านนอกก็พอนะครับ อย่าไปรบกวนถึงด้านในเลย

บริเวณตัวหมู่บ้านที่อยู่ไกลๆ ก็คือที่ที่เราพักแรมกันครับ “หมู่บ้านย่าติง”
คือวัดชงกู่มันเหมือนมีอะไรมาดึงดูดใจให้ถ่ายครบทุกมุมเลยครับ

ต้นไม้เปลี่ยนสีบริเวณวัดชงกู่มีทั้ง สีเหลือง สีแดง สีเขียว (นี่ไม่ได้เปลี่ยน)

และบริเวณข้างๆ วัดชงกู่ ก็ยังมีจามรีอีกหลายๆตัวเดินไปเดินมาด้วยนะครับ

บริเวณรอบๆวัดชงกู่มีจามรีอยู่เป็นฝูงเล็กๆหลายฝูงครับ

ในวันสุดท้ายในย่าติง ที่พาพี่ๆมาซ่อม “เซียนหน่ายรื่อ” นั้น เจอจามรีออกมาเล่นด้วยเยอะแยะมากเลยครับ

และแล้ว “เซียนหน่ายรื่อ” ก็ปรากฏออกมาที่เบื้องหน้าเราแล้วครับ!

หมอกลงหนาจนมองไม่เห็นส่วนบนของยอดภูเขากันเลยครับ ทั้งๆที่เวลาก็ใกล้เที่ยงแล้ว ตีนเขาไม่มีหมอกเลยสักนิด

วันนี้ทำให้ทุกๆคนได้เข้าใจถึงคำว่า “เส้นขอบฟ้าที่หายไป” ได้เป็นอย่างดี =3= 
สภาพอากาศแบบนี้ บ่งบอกว่าพายุหิมะได้ใกล้มาเยือนย่าติงแล้วครับ

มองจากตีนเขาขึ้นไปด้านล่างชัดเจน แต่ด้านบนมองไม่เห็นอะไรเลยนะครับ
ทะเลสาบไข่มุกที่ยังดูสดใสเหมือนเดิม

ภาพที่เห็นจึงดูออกมาแบบแปลกๆครับ ด้านล่างชัดแจ๋วเลย ด้านบนมองไม่เห็นอะไรเลย

พวกเรานั่งแช่อยู่บริเวณนี้เกือบ 1 ชม. เผื่อว่าหมอกบนยอดจะจางลงแต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม

เนื่องจากในอุทยานไม่มีของกินขาย พวกเราทั้งหมดเลยตัดสินใจลงเขา โดยผ่านทางวัดชงกู่ ซึ่งเป็นทางลงที่สวยงามมากๆ

บริเวณจุดนั่งพัก เป็นจุดแยกเข้าไปสู่ทะเลสาบไข่มุก

บริเวณทางเดินลงบนพื้นดินเป็นสีเหลืองเต็มพื้นตลอดทาง โครตฟินอะครับ

ขนาดเดือน 11 ใกล้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ดอกไม้ก็ยังมีบานให้เห็นตลอดทาง

การพรางตัวของสัตว์บางชนิด
ขากลับ และ ขาไปแอดมินขึ้นทางเดียวกันซึ่งเป็นทางสวยแต่เดินไม่สะดวกแค่นั้นเองครับ
จามรีออกมารอส่งพวกเราออกจากย่าติง(มันมายืนไล่)

และแล้วเมื่อเวลาประมาณเที่ยง พวกเราทั้ง 5 คนก็กลับไปขึ้นรถเพื่อลงไปเอาสัมภาระที่ จุดจอดรถหมายเลข 2 แต่บริเวณนี้จะขึ้นรถออกไปหมู่บ้านแชงกรีล่าลำบากหน่อย เพราะต้องแจ้งพนักงาน ให้เขาบอกรถด้านบนให้เหลือที่นั่งไว้ให้ที พอเราขึ้นรถได้แล้ว รถจะมาส่งถึงจุดขายตั๋วเลยครับ ตรงนี้จะมีรถให้เช่ากลับไปยังหมู่บ้านเต้าเฉิงอยู่มากมาย

บริเวณกลางเมืองจะมีถนนคนเดิน แต่ดูๆไปแล้วเงียบเหงาแท้ๆ

เมืองเต้าเฉิงเป็นเมืองที่มีการปรับปรุงจากเมืองโทรมๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่าน ตัวเมืองมีขนาดเล็กเพราะประชากรน้อย รายได้หลักของเมืองนี้มาจากการท่องเที่ยวเป็นหลัก

จุดที่เจริญที่สุดของเมืองครับ ร้านขายมือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้า
บริเวณใจกลางเมือง จะมีพิพิธภัณฑ์ และ ลานให้คนมาทำกิจกรรมกัน
บริเวณกลางเมือง มีสิ่งประดับปะดาและไฟตกแต่งที่เยอะที่สุดของเมืองแล้วครับ
ส้วมสวยงามสะอาดเป็นเมืองเกิดใหม่ที่ดูดี

ผู้คนในเมืองนี้ ถึงจะเป็นเมืองชนบทแต่น้ำใจของชาวเมืองต้องถือว่าดีงาม กว่าเมืองที่เจริญแล้วมากมายก่ายกอง

ห้องพักสะอาดสวยงามในราคาเบาๆ(มั้ง)

และแล้วคืนสุดท้ายในเต้าเฉิงย่าติงก็สิ้นสุดลง ในคืนวันพรุ่งนี้เราทุกคนก็จะได้นอนกันที่บ้านของพวกเรากันเองแล้ว

ในวันสุดท้ายของการเดินทาง เครื่องบินออกประมาณ 8.30 น. แอดมินัดรถมารับ เวลา 6.00 น.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ณ เวลา 5.57 ยังไม่เห็นแม้แต่เงารถ แต่พอเวลา 5.59 รถที่เช่าไว้สองคันมาพอดี ตรงเวลาโครตๆ ขณะเดินทางรถเราแซงรถชัตเติ้ลบัสแหลกลาญ จนได้แย่งชาวบ้านเช็คอินไม่ต้องต่อแถวยาวๆ ซำบายใจเหมือนเราชนะเจ้าถิ่นเป๊ะๆเลยครับ

โรงหนัง เอ้ยยย สนามบินครับ
สนามบินที่นี่มีสามชั้นเล็กๆครับ
จุดนั่งรอเครื่องบิน เครื่องบินมาไวไปไวมากครับ

ในสนามบินแห่งนี้มีจอหนังขนาดใหญ่เท่าโรงหนังให้ผู้โดยสารไปนั่งกินมาม่ากินไปดูไปด้วยครับ

การเดินทางในวันสุดท้ายนี้ เมื่อเราโดยสารเครื่องบินจาก เมืองเต้าเฉิง ไปถึง เมืองเฉิงตู เราก็เรียกรถไปส่งที่ สถานีรถไฟหลักแห่งเมืองเฉิงตู(成都站)โดยปลายทางจะเป็น เมืองฉงชิ่ง เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องบินสารการบินแอร์เอเซีย กลับ ดอนเมือง รวมๆระยะทางในการเดินทางวันนี้ 3200 กิโลเมตรครับผม

ลาก่อนประเทศจีน 再见 แปลว่าเจอกันใหม่

Exit mobile version