วันที่ 2 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลาประมาณ 4.00 น. พวกเราทุกคนก็ได้มาถึงยัง สนามบินดอนเมือง เนื่องจากในตอนแรกพวกเราอาจยังไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ จึงไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย จนเวลา 6.30 น.เครื่องบินก็ได้บินออกจากสนามบินดอนเมือง (เดินทางจากดอนเมือง ไปยัง ฉงชิ่ง)


เมื่อทำพิธีตรวจคนเข้าเมืองเสร็จแล้ว กระเป๋าเดินทางของพี่แป๊ะ ได้ถูกสุนัขตรวจสิ่งของเห่า พี่แป๊ะจึงถูกตรวจกระเป๋าสิ่งที่สุนัขค้นเจอปรากฏว่าสิ่งนั้นคือ!!!!! “เนื้อแดดเดียว” ที่ติดมาเผื่อกินอาหารไม่ลง(หมามันอยากกินนี่เอง) ของอร่อยชิ้นนั้นจึงโดย ตม.ยึดไปกินเองเป็นที่เรียบร้อย ปล.ของพี่วรรณไม่ได้ใส่ในกระเป๋าเดินทางนะครับ รอดเลยได้กินจนหมด

ด้านซ้าย “พี่แป๊ะ”
ด้านขาว “พี่ช้าง”
กว่าจะออกมาได้ เวลาก็ล่วงเลยไปประมาณ 11.00 น. เวลา ณ ประเทศจีน ก่อนออกเดินทางไปที่พัก เราก็เลยกินอาหารจานด่วนที่ ร้าน DISCO สาขาสนามบินเจียงเป่ย กันนะครับอยู่ติดกับทางลงไปสถานีรถไฟฟ้าเลย พอรับประทานกันเสร็จ เราก็เดินทางไปที่พักผ่านทางรถไฟฟ้า ดูตามแผนที่ประกอบเลยครับ

ที่พักคืนแรกของพวกเราจะอยู่ที่สถานี “ซือจื่อผิง-狮子坪” ซึ่งใกล้สถานีรถไฟฉงชิ่งมากๆเลยครับ

เวลาประมาณ 13.00 น. ได้มาถึงที่พัก(ไม่ว่างถ่ายภาพที่พักเลยครับ ที่พักชื่อ Green Tree) ให้ทุกๆคนเอากระเป๋าเข้าไปเก็บ แอดมินก็ออกไปที่สถานีรถไฟ ไปถอนตั๋วรถไฟที่ซื้อไว้ล่วงหน้าออกมา

วันแรกในมหานครฉงชิ่ง สถานที่ต่างๆนั้น ให้ดูตามแผนที่สถานีรถไฟฟ้านะครับ ทำจุดบอกไว้หมดแล้ว
หลังจากนั้น เวลา 14.00 น. เราก็ได้ออกเดินทางตัวปลิวไปยังสถานที่แรกของวันซึ่งก็คือ “เมืองโบราณฉือชี่โค่ว-磁器口古镇” สถานที่นี้เป็นโซนเมืองเก่า ที่ทางการอนุรักษ์ไม่ให้มีการทำลาย จะดูเหมือนชุมชนเมืองเก่าที่แออัดสักนิดนึง บริเวณเมืองเก่าจะไม่มีรถเข้าออกเป็นตรอกเล็กๆ เดินเข้าไป โดยวิธีการไปก็แสนจะง่ายดายมาก ตามแผนที่ด้านบนสถานี “ฉือชี่โค่ว-磁器口” นั้นเลยครับ โดยเมืองลงจากสถานีรถไฟฟ้าแล้ว ให้เดินไปอีกประมาณ 500 เมตร ข้ามถนนเข้าไปในตรอกที่คนเยอะๆ ก็นั่นละครับแปลว่าถึงแล้ว

![]() |
![]() |
ภายในตรอกเมืองโบราณ มีร้านค้ามากมาย (พี่ๆเขาเซลฟี่ตัวเองกันไม่หยุดเลยครับ–พี่วรรณนะครับ)

![]() |
![]() |
กิจกรรมเรียกลูกค้าจะมีไม่เหมือนกัน บ้างก็แต่งตัว บ้างก็ทำอาหารสดๆ บ้างก็ทำน้ำซุปสุกี้ให้ดู (ของฝากขึ้นชื่อคือน้ำซุปสุกี้สำเร็จรูป)
ภายในตัวเมืองโบราณจะมีตรอกเล็กๆ แยกออกไปจากตรอกใหญ่อีกมากมาย ถ้าเดินจริงๆ อาจใช้เวลาถึงครึ่งวัน
![]() |
![]() |
บริเวณนี้จะมีร้านขายของฝากที่คนเยอะที่สุดในตรอก ซึ่งเขาห้ามถ่ายรูป


ภาพเจ้าช้างกวักมือนี้เป็นภาพสุดท้ายนะครับ เพราะมีคนมาไล่จับแอดมินแล้ว ทำได้อย่างเดียวครับ! หนีสิครับจะให้มันจับปรับทำไม บ๊ายบาย
![]() |
![]() |
หลังจากวิ่งหนีออกมาแล้ว พี่ๆก็เดินกันไปเกือบสุดทาง เมื่อเดินครบรอบนึง เวลาก็ประมาณ 16.00 น. เราก็ต้องไปจุดต่อไปกันแล้วละครับ
จุดหมายต่อไปของเราก็คือ กระเช้าข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง “ฉางเจียงสั่วเต้า-长江索道” สถานที่นี้มันมีมนต์ขลังในตัวมันตรงที่ว่ามันเป็น การเดินทางที่ทันสมัยอันแรกๆ ของเมืองฉงชิ่ง ถึงตอนนี้จะมีสะพานข้ามแม่น้ำเต็มเมืองไปหมดแล้ว เขาก็ยังอนุรักษ์ไว้ เพราะถือว่าเป็นกระเช้าอันแรกๆของประเทศเลยครับ

การเดินทางมายัง “กระเช้าข้ามแยงซีเกียง” : ก่อนอื่นดูรูปแผนที่ด้านบนที่ลงไว้นะครับ โดยลงสถานีรถไฟฟ้าที่ชื่อว่า “เสี่ยวเสินจื้อ-小什字” แล้วออกทางช่องประตู 5A และ 5B หันกลับมาด้านหลังก็เจอเลยครับ ค่าโดยสารไปกลับ 30 หยวน
![]() |
![]() |
ถึงปัจจุบันจะไม่ใช่การโดยสารหลักประจำเมืองแล้ว ก็ยังเปิดให้ใช้งานในสถานะสถานที่ท่องเที่ยว

สถานที่ต่อไปของเราก็คือ “หงหยาต้ง-洪崖洞” หงหยาต้งคืออะไร ก็คือจุดช๊อปปิ้ง พร้อมถ่ายรูป โดยการสร้างตึกนี้เป็นการสร้างที่ภายนอกตึกเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยของจีนนะครับ โดยทางเข้าจะอยู่ที่ชั้น 1 และ ชั้น 11 โดยจะตั้งพาดแนวภูเขาในเมือง สังเกตง่ายๆอยู่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง หรือ ระหว่างทางกึ่งกลางของ สถานีรถไฟฟ้า “เสี่ยวเสินจื้อ(小什字) กับ หลินเจียงเหมิน(临江门)” โดยบริเวณรอบๆ จะมีร้านสุกี้เต็มไปหมดเลย

![]() |
![]() |
มีคำกล่าวไว้ว่า “สุกี้ฉงชิ่งเป็นหนึ่งในแผ่นดินมังกร” ฉะนั้นเมื่อมาถึงเราไม่ควรพลาด อย่าไปกลัวกับความเผ็ดครับ แค่ตอนถ่ายออกมามันจะแสบๆเท่านั้นเอง แต่แอดมินคอนเฟิมว่า อร่อยจริงๆ ไม่ต้องติดป้ายเชลชวนชิม หรือ คุณหรีด มาการันตีครับ

ตอนกินสุกี้เข้าไปยังไม่มืดนะครับ พอกินเสร็จได้เวลาเปิดไฟพอดี 20.00 น. สวยเลยครับ คนยืนรอกินสุกี้แถวยาวมากๆเลยครับ

![]() |
![]() |
ภาพซ้าย : ถ่ายที่ชั้น 10
ภาพขวา : ถ่ายที่ชั้น 1



“หงหยาต้ง-洪崖洞” นั้นไม่ใช่ว่าจะสวยแค่เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นนะครับ เพราะถ้ามีเวลามาในตอนกลางวันก็สวยไปอีกแบบนะครับผม
จุดหมายต่อไปของพวกเรา ก็คือสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ถัดไป “ดูจากแผนที่ได้อีกแล้วนะครับ สถานีหลินเจียงโค่ว(临江口)” โดยบริเวณนี้จะเป็นจุดที่ตั้งของ อนุสาวรีย์ปลดแอก ของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ไฮ้! เรียกว่า “แท่นหินปลดแอก-解放碑-เจี่ยฟั้งเปย” เทียบกับบ้านเราก็คงอนุสาวรีย์ประชาธิไตย นั่นละครับ


![]() |
![]() |
เหตุที่ป้ายศิลาประกาศอิสระภาพได้มาตั้งไว้ที่เมืองฉงชิ่งนั้นก็เป็นเพราะว่า ฉงชิ่งนั้นเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการพรรคคอมมิวนิสต์จีนนะครับ
หลังจากเสร็จจากจุดนี้ พวกเราก็ได้รีบกลับที่พักไปพักผ่อนเพราะในเวลาอีกวันเราต้องเดินทางกันแต่เช้า
เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง เราได้ออกเดินทางกันตั้งแต่ 6.30 น. ถึงจะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ 2 ป้ายสถานีรถไฟฟ้า แต่เราก็ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ซึ่งเหตุผลหลักก็เพราะว่า สถานีรถไฟทิศเหนือ มันแตกสถานีลูกออกมาแบ่งเป็น เหนือเหนือ กับ เหนือใต้ นั่นละครับ รถไฟความไวสูงจะย้ายไปที่ สถานีเหนือเหนือ กันหมดเลย ต้องต่อรถไปอีกทีนึง (เดินทางจาก ฉงชิ่ง ไปยัง เฉิงตู)

![]() |
![]() |
บรรยากาศบนรถไฟ พี่วรรณ เหม่อมองวิวข้างทาง


ปล.ภาพบนที่ดูเท่ๆ นั้นไม่ใช่พวกผมนะครับ พวกของแอดมินคือด้านล่างนะ !!!
ที่พักในเมืองเฉิงตูนั้น ผมเลือกที่พักใกล้ๆ กับ “ถนนชุนซีลู่-春熙路” คือสยามสแคว์ ของบ้านเรานั่นละครับ วัยรุ่นเยอะมากๆ คนแก่ก็เยอะครับ ที่พักชื่อ “Flipflop-รองเท้าแตะ” เป็นเกสเฮ้า แต่มีห้องพักเดี่ยวเยอะครับ ตัวโรงแรมห่างจากสถานีรถไฟฟ้าแค่ 300 เมตรเท่านั้นเอง (ถ้าเดินหลงนะครับ)


ตามสัญญาครับ อาหารสุดโปรดของแอดมิน “หมูผัดซอส-京酱肉丝”
![]() |
![]() |
แน่นอนครับ มาเฉิงตูก็ต้องมาดูหมีแพนด้า จัดให้เต็มๆครับกับหมีแพนด้าที่ใหญ่ที่สุด และ กร่างที่สุดในโลก



พวกเราเตร็ดเตร่กันถึงแค่เวลา 19.00 น. ก็กลับที่พักกันแล้วครับ ฝั่งตรงข้ามของที่พักทั้งแถวนั่นละครับร้านอาหาร ที่เราต้องรีบกลับกันเพราะอีกวันเราจะไปขึ้นเครื่องบินกันตั้งแต่ยังไม่เช้า กำหนดการออกบินเดิมคือ 7.00 น. แล้วเปลี่ยนไปรอบเป็น 6.00 น. แล้วเปลี่ยนอีกรอบวันนี้เป็น 8.00 น. พวกเราไม่แน่ใจก็เลยไปรอมันตั้งแต่ 4.00 น.เลยละกัน เรียกรถตู้มารับตั้งแต่เวลา 3.30 น.เลยครับ (เพื่อเดินทางจาก สนามบินซวงหลิว ไปยัง สนามบินเต้าเฉิง)


ปล.ในคืนนั้นเอง เพื่อนที่เปิดบริษัททัวร์ได้มาหาแอดมินทำให้แอดมินไม่ได้นอนเลย นั่งคุยถึงเที่ยงคืน อาบน้ำเก็บกระเป๋าพอดี 3.00 น.และครับ
จึงมีสภาพเป็นเยี่ยงนี้


วิวที่มองเห็นมันสวยจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้ แต่พอยกกล้องขึ้นมาถ่าย ทันใดนั้น แอร์วิ่งมาบอกว่าห้ามถ่ายเจรจาสักแปปเขาบอกว่าถ่ายได้สองแช๊ะนะ กลัวเครื่องตก

เมื่อเรามาถึง สนามบินเต้าเฉิงซึ่งเดินออกมาก็จะมีรถชัตเติ้ลบัสไปส่งที่ ตัวเมืองเต้าเฉิงเลย 35 หยวนต่อคน แต่เราตัดสินใจเช่ารถ สองคัน ไปส่งพร้อมแวะถ่ายรูปจนถึง อุทยานย่าติงเลย
![]() |
![]() |
การันตีความสูงที่ 4411 เมตร

![]() |
![]() |
สถานที่แรกของเช้าวันที่ 3 “ไห่จื่อซาน-海子山” มันก็คือจุดที่มีหินเรียงตัวกันมากมาย ซึ่งในสถานที่ที่สูงแบบนี้จะมองหาแนวหินแบบนี้ได้ยากมาก





![]() |
![]() |

![]() |
![]() |

สถานที่ต่อไปของการเดินทางก็คือ “วัดเก่าปั้งผู่-蚌普寺” ความเป็นมาอันแสนยาวนาน ลองไปหาดูในบทความที่แอดมินเคยเขียนไว้นะครับ ค้นหาทาง กูเกิ้ล ก็ได้จากคำว่าย่าติง เว็บอยู่หน้าแรกเลย คนเขียนตั้งใจเขียนมากๆครับ


![]() |
![]() |
เนื่องจากไม่อยากไปทำลายความสงบของสถานที่แห่งนี้พวกเราจึงได้รีบจากไปเป้าหมายต่อไป “เมืองเต้าเฉิง”


แต่ทิวทัศน์แบบนี้มันก็มีอยู่ทุกที่ในเต้าเฉิงแหละครับ
จุดที่บอกว่าเราจะถึงจริงๆแล้วก็คือ “สถูปสีขาว(ไป๋ถ่า)-白塔”

![]() |
![]() |
ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า รอบๆมีชาวพื้นเมืองกำลังประกอบพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งทำกันเป็นประจำในทุกๆตอนเช้า

![]() |
![]() |
ได้เวลามุ่งสู่เต้าเฉิงกันแล้วครับ โดยเราไปทำอะไรกันที่เต้าเฉิง “กินข้าวครับ”
ถ้าขึ้นชัตเติ้ลบัสมายังเต้าเฉิง ก็สามารถต่อรถไปยังย่าติงได้นะครับราคาประมาน 35 หยวนเหมือนเดิม

![]() |
![]() |
รูปซ้ายคือเนื้อจามรีผัดผัก เนื่องจากพี่วรรณอยากลองชิม ราคาก็ใช่เล่นครับแพงกว่าเนื้อหมูประมาณ 4 เท่าได้

ระยะทางจากเมืองเต้าเฉิง ไปยัง ย่าติง นั้นมีระยะทางประมาณ 70 กม.ได้ นั่งรถประมาณ 80 นาที เราใกล้จะถึงย่าติงกันแล้วครับ
- รีวิว :: ทริปเต้าเฉิง-ย่าติง(2-7/11/2016) PART1:อารัมภบ่น (LOST HORIZON กับ ขอบฟ้าที่หายไป)
- รีวิว :: ทริปเต้าเฉิง-ย่าติง(2-7/11/2016) PART3:ตอนกลาง (LOST HORIZON กับ ขอบฟ้าที่หายไป)
- รีวิว :: ทริปเต้าเฉิง-ย่าติง(2-7/11/2016) PART4:ตอนจบ (LOST HORIZON กับ ขอบฟ้าที่หายไป)