沙溪古镇 เมืองโบราณซาซี นั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง ต้าหลี่ กับ ลี่เจียง การเดินทางไปยังเมืองนี้ถ้าไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น อาจจะหารถไปยากสักหน่อย ซึ่งความสำคัญของเมืองโบราณแห่งนี้ในประวัติศาสตร์ก็คือเป็นเมืองพักผ่อนและค้าขายที่สำคัญของ เส้นทางขนส่งชาโบราณ เส้นทางทิเบต-ยูนนาน (ที่เรียกกันว่า ฉาหม่ากู่เต้า-茶马古道 )


ซึ่งในช่วงปี 2016 แอดมินเคยได้มาเยือน และทำรีวิวไปแล้วครั้งนึง การเปลี่ยนแปลงบางครั้งไม่ใช่เรื่องที่ดีครับ ลองอ่านรีวิวของเก่า แล้วเปรียบเทียบภาพของปัจจุบันได้นะครับ :: เมืองโบราณซาซีในปี 2016

![]() |
![]() |
เป็นมุมยอดนิยมที่ทุกคนชอบมายืนถ่ายกันครับ


จากการที่มีการปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น หน่วยงานในท้องถิ่นเหมือนจะไม่เข้าใจว่าคนมาเพราะมันสวยแบบธรรมชาติ จึงมีการปรับปรุงให้มันดูสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจนความโบราณของธรรมชาติ มันได้หดหายไปครับ





สะพานหินแห่งนี้ ถ้ามีงานแต่งงาน จะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เจ้าบ่าวจะต้องแบกเจ้าสาวเดินข้ามสะพานแห่งนี้ไปนะครับ


แต่ว่าสมาชิกทุกท่านที่ยังไม่เคยมาบอกว่าใช้ได้ ไม่เลว ถ้าเป็นสมัยก่อนคงบอก อเมซิ่งสุดๆ สมาชิกครั้งก่อนบอกว่ามัน ประทับใจยิ่งกว่า ภูเขาหิมะมังกรหยกอีกนะครับ

และในตอนเที่ยง วันที่ 5 ของการเดินทาง รถบัสที่เราเหมาไว้ก็พร้อมออกเดินทางนำเราไปส่งยัง เมืองโบราณลี่เจียง อันนี้ก็มาบ่อยเกิ๊น ไม่ขอบ่นมานะครับ ฝากไว้แค่รูปเดียว เพราะจุดหมายต่อไปของเราก็คือทะเลสาบหลูกูหู

泸沽湖 ทะเลสาบหลูกูหู สถานที่สุดท้ายในทริปนี้ เป็นเขตแดนธรรมชาติของมณฑลยูนนาน และ มณฑลเสฉวน โดยสถานที่แห่งนี้เจ้าถิ่นก็คือ ชาวโม๋ซัว(摩梭人) ซึ่งเป็น กลุ่มคนในชนเผ่าน่าซี(纳西族) ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความพิเศษทางวัฒนธรรม ที่เหลือเป็นกลุ่มสุดท้ายของโลกนี้ ซึ่งก็คือสตรีเป็นผู้นำชนเผ่า ที่นี่ไม่มีคำว่าพ่อ ส่วนรายละเอียดลองไปอ่านที่แอดมินเคยเขียนว่านะครับ :: ทะเลสาบหลูกูหู

โดยในปัจจุบัน มีการสร้างถนนใหม่ 18 โค้งเก่าจึงเป็นแค่ตำนานเล่าขานไม่มีคนใช้เส้นทางอันแสนอันตรายนั้นแล้วครับ และในส่วนของตัวทะเลสาบนั้นต้องบอกเลยว่า ถ้าเคยเห็นเมื่อ 10 ปีก่อนมาแล้ว มีน้ำตาตกในครับ ความใสและสดนั้นหายไปหมด มีการบุกรุกพื้นที่ธรรมชาติโดยกลุ่มนายทุนจากมณฑลอื่น ซึ่งกรมการท่องเที่ยวแห่งมณฑลยูนนานนั้น ทำได้ระยำมากครับ จนปัจจุบัน รายได้จากการท่องเที่ยวของมณฑลยูนนานที่สมัยก่อนติดอันดับ 1-2 ของประเทศหายไปอยู่ติดดินต่ำเตี้ยสุดๆ อนิจจัง


มีคำกล่าวว่า “เมื่อคนดีมาถึง,ฟ้าจะเปิด” ทันใดนั้นตรงจุดที่เราอยู่นั้นฟ้าก็เปิดเลยจ้า
หลายคนอาจสงสัยว่าสมัยก่อนสวยแค่ไหน ก็สวยแค่น้ำในทะเลสาบสามารถดื่มกินได้เลย ไม่มีหมู่บ้านที่ยื่นติดทะเลสาบ และ ความใสนั้นสามารถมองทะลุได้ถึง 8 เมตรสบายๆ เมื่อพระอาทิตย์สาดส่องลงมา สีของน้ำจะสะท้อนออกมาเป็นสีฟ้าอัญมณี


และความเสื่อมที่ไม่เคยเสื่อมคลายคือ “ชาวโม๋ซัว” ไม่มีหัวการค้า แต่อยากได้เงินก็จะขายสิทธิ์ในที่ดินตนเองให้นายทุน และ รวมตัวกันเรียกร้องให้รถเช่า รถทัวร์ทุกคนต้องพานักท่องเที่ยวมาเยือนบ้านตน แล้วก็จับให้กินอาหารที่นักท่องเที่ยวบางทีไม่ได้อยากกิน ชมการละเล่นรอบกองไฟที่บ่งบอกวัฒนธรรม ซึ่งทำให้หลายๆคนร้องยี้ เพราะไม่ได้ชอบแบบนี้นั่นเอง เห้ออออ!

แหลมหลี่เก๋อ จุดที่เหล่าผู้มั่งมีอาศัยกันมาตั้งแต่สมัยก่อนเพราะเป็นจุดเดียวที่ยื่นออกไปในตัวทะเลสาบครับ







และแอดมินไม่ขอนำรูป สะพานออกเรือน-โจ่วฮุนเฉียว-走婚桥 มาลงนะครับ เพราะสะพานหลังเก่าที่เป็นไม้ยาวกว่า 300 เมตรได้ถูกทุบและทำใหม่เป็น สะพานฐานปูน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สะพานนี้มีความสำคัญมากในสมัยก่อนที่ไม่มีถนนตัดผ่าน เป็นการเดินจากหมู่บ้านข้ามหมู่บ้าน คล้ายๆสะพานมอญบ้านเราเลย โครตเสียดายทุบทำไมวะ

ในวันสุดท้ายเราออกเรือไปยังเกาะเจ้าจอม หรือ “หวังเฟยเต่า-王妃岛” กันนะครับ เกาะนี้แต่ก่อนเป็นวัดดูขลังๆ ตอนนี้สร้างพิพิธภัณฑ์ ทับไปเรียบร้อย เสียค่าเข้าชม อยากจะบอกว่า ถถถถถถถุย คงไม่จัดทริปที่เส้นแถบนี้อีกนานเลยฮะ ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจสวยในสายตาคนไม่เคยเข้าชม แต่สำหรับแอดมิน อยากจะถุย ถุย ถุย เสียใจหว่ะ!




