ทริปเดินทาง

รีวิว :: ทริปมณฑลซานซี(8-16/11/2019)ตอนที่1:วัดลอยฟ้า(悬空寺)-ถ้ำพระอวิ๋นกัง(云冈石窟)-ด่านเยี่ยนเหมินกวน(雁门关)-ถ้ำน้ำแข็งหมื่นปี(万年冰洞)-เมืองโบราณชี่โค่วและหลี่เจียซาน(碛口古镇-李家山)

山西 “ซานซี” หรือ มณฑลซานซี เป็นมณฑลที่ชาวไทย ได้ไปเยือนน้อยเป็นอันดับต้นๆ ของมณฑลต่างๆในไทยเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะไม่รู้จัก หรือ ไม่ค่อยมีบริษัททัวร์จัดไป แต่ประเทศจีนนั้นถือว่า มณฑลซานซี นั้นคืออีกจุดสำคัญจุดหนึ่งในจุดกำเนิดประวัติศาสตร์ชาติจีนเลยก็ได้ (ถ้ามีเวลาว่างจะบอกเล่าในตอนถัดไปครับ)

ซึ่งทริปนี้กว่าจะจัดได้ ก็เลือกแต่ที่แปลกๆ แปลกจนเวลาแปลก โดนเทตั๋วเครื่องบินเวลาเปลี่ยนแปลงมั่วไปหมดมา 1 รอบ จนทำให้สมาชิกทริปหายไปกันเยอะพอตัว จนตอนสุดท้ายก็รวมตัวกันได้ 12 คนนั้นละครับ เหมารถตู้ไป 1 คันนั่งสบายๆ กันไปเลย


ซึ่งในวันแรกที่เราไปถึงนั้น เรานั่งเครื่องบินของสายการบิน MU เลยทั้งไปและกลับ และบนเครื่องบิน อาเจ้ชาวจีนทั้งหลายก็ปีนเบาะกันสนุกสนาน ซึ่งรู้สึกว่ามณฑลนี้ชาวจีนแปลกๆ กันจุงเบย ยิ่งพอเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยแล้ว จึงรู้ว่า มณฑลนี้ไม่ค่อยได้เจอชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวมากมายเท่าไหร่นัก ทำให้กว่าจะผ่านไปได้ก็เหนื่อยกันจนตัวเมื่อยเลยครับ วันแรกกว่าจะถึงที่พักก็ล่อเข้าไป 20.00 น.เข้าไปแล้ว วันแรกจึงได้กินก๋วยเตี๋ยวซานซี แถวที่พักเลย (ไม่ได้ถ่ายรูปมาเหนื่อยจัดขี้เกียจตามสไตด์ผมครับ)

วันที่ 2 ของการเดินทางทาง จุดหมายแรกของเราคือ “วัดลอยฟ้า” หรือ วัดเสวียนคง แห่ง เขาเหิงซาน(1ใน 5 ขุนเขาของจีน)

คู่รักสุดว้าววว ครับ

วัดเสวียนคง ภาษาจีน “悬空寺” แปลเป็นไทยว่า วัดแขวน หรือ วัดแขวนไว้กลางอากาศ ชื่อนี้เป็นชื่อพ้องเสียง เพื่อให้เรียกและเข้าใจง่าย แต่จริงๆแล้ว ชื่อวัดนนี้จะเขียนว่า “玄空阁” ซึ่งเสียงที่เรียกจะคล้ายๆ กัน ตัววัดปัจจุบัน มีการสร้างใหม่โดยเลียนแบบของเก่า ในสมัยราชวงค์หมิง และ ชิง ซึ่งตามประวัติศาสตร์วัดจะสร้างในสมัยราชวงค์ “เว่ยเหนือ”(คศ.491)

หลายคู่ครับ

วัดลอยฟ้าแห่งนี้ เป็น สถานที่ที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอาย ของ ศาสนา 3 แห่งเข้าด้วยกันเป็น 1 เดียว ซึ่ง มีทั้ง “儒 คือ 儒家 หรู่เจีย ซึ่งก็คือ ขงจื้อ” | “释 คือ 释迦摩尼 หรือ ก็คือ พระศากยมุนี(ศาสนาพุทธ)” | “道 คือ 道教 ซึ่งก็คือ เต๋า”

วัดแห่งนี้มีไม้ค้ำหลัก มากถึง 27 ต้น (มันทำไปได้อย่างไร) และ มีการแบ่งห้องในวัดมากถึง 40 ห้อง ทางเดินตอนเข้าวัดถ้าช่วงคนเยอะจะน่ากลัวในระดับหนึ่ง ตอนเดินสวนกันต้องระวังนิดนึงนะครับ ตัววัดหลายๆ ห้องจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ

บนทางเล็กๆ แคบๆ
โดยหลักๆ ด้านในไม่ค่อยได้ถ่ายสักเท่าไหร่เลยครับ

และนี่คือช่วงบ่าย ซึ่ง เรายังต้องไปในสถานที่อื่นในช่วงเย็นอีกครับ เพราะว่ามันต้องไปให้คุ้มๆ ก่อนที่จะเข้าที่พักกันในคืนนี้

ก่อนจากลา

สถานที่ในตอนเย็นของเราก็คือ 1 ใน 4 ถ้ำพระที่ยิ่งใหญ่ของจีน ซึ่งก็คือ “云冈石窟 อวิ๋นกังสือคู หรือ ถ้ำพระอวิ๋นกัง” ซึ่ง 3 ถ้ำพระที่เหลือ นักท่องเที่ยวในจีนส่วนใหญ่ ก็จะรู้จักกันก็จะมี “ถ้ำพระหลงเหมิน เขาไม่จี ถ้ำพระตุนหวง

ต่อมาเราจะมาพูดคร่าวๆ เกี่ยวกับ ถ้ำพระอวิ๋นกัง กันต่อนะครับ ถ้ำพระอวิ๋นกัง มีห้องถ้ำพระ 45 ห้อง ห้องเล็กใหญ่ตามผนังอีก 252 ห้อง มีพระแกะสลักอีกกว่า 51000 รูป

เปิดเข้ามาก็เจอประตูเลย

ตอนซื้อตั๋วเข้าสถานที่ จะมีตั๋วรถ แนะนำให้ซื้อนะครับ กว่าจะเดินเข้าไปถึงก็เหนื่อยพอตัวเลย

ทางเดินเหนื่อยโฮกฮาก

พื้นที่ก่อนเข้าถ้ำพระจะมีจุดพักผ่อนสวยงามอันใหญ่บะเฮิ่ม

ถ้ำพระอวิ๋นกัง เป็นถ้ำพระที่เป็นต้นแบบของ ถ้ำพระหลงเหมิน แห่ง ลั่วหยาง ถ้ำพระเหล่านี้เอง เป็นเหตุให้ราชวงค์เป่ยเว่ย ล่มสลายลงในเวลาไม่นาน และ ถ้ำพระหยุนกัง ยัง มีการสร้างพระพุทธรูปในถ้ำต่างๆ ที่ชอบเสียดสีการเมือง อย่างเช่น พระพุทธรูปจะชอบมีเป็นคู่ๆ บัดดี้ เหมือนเสียดสี ฮ่องเต้ ต้องมีคนคอยบงการ อยู่ข้างๆ อีกทีนึง

หลายๆ จุดนั้นไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปได้

ภาพทางซ้ายนั้น เสียดสีราชสำนัก “เป่ยเว้ย” ที่ ฮ่องเต้ในรัชสมัยที่ 4 ที่ยังไม่ขึ้นครองราช อย่างเป็นทางการ ก็โดนเตะตัดขา เชือดทิ้ง ไปซะละ ช่างฝีมือในสมัยนั้นจะชอบการเสียดสีทางการเมืองใส่ลงไปในผลงาน

ถ้ำพระอวิ๋นกัง กับ ถ้ำพระหลงเหมิน ก็คือถ้ำพี่ถ้ำน้องนะครับ เป็นถ้ำล่มเมืองกันเลยทีเดียว

ถ้ำที่สวยๆ เขาไม่ให้ถ่ายรูป ซึ่งน่าเสียดายมากๆเลยครับ
พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นจุดขายที่เอาไปลงในรูปขายตั๋วครับ
จึงมาถ่ายกันตรงนี้เยอะกันนี๊ดนึง

สักพักก็ดึกแล้ว วันนี้เราพักเมืองใหญ่กันครับ เมืองต้าถง


วันที่ 3 ของการเดินทาง ในตอนเช้าก็ออกแต่เช้าตรู่เลย จากกำหนดการเดิม เราต้องเดินทางไปที่ “万年冰洞 หรือ ถ้ำน้ำแข็งหมื่นปี” ต่อด้วย “悬空村 หรือ หมู่บ้านลอยฟ้า” แต่คนขับรถเกิดอาการเมาตด ขับรถไปที่พิเศษ (หลับกันทั้งคัน ตื่นมาตัวผมยังงง อยู่ไหนแล้ววะ จนเดินสำรวจรอบถึงได้รู้ว่า เรามาถึง กำแพงเมืองจีนด่านสำคัญที่สุดในเมืองจีน ก็คือ “雁门关 หรือ ด่านเยี่ยนเหมินกวน” สำคัญจนมีคำกล่าวว่า “得到雁门关,得到天下 แปลว่า ครอบครองด่านเยี่ยนเหมินกวน ก็เท่ากับครอบครองแผ่นดิน” เพราะด่านตรงจุดนี้เป็นพื้นที่กันชนกับชนเผ่านอกด่านดั้งเดิมของแคว้นจ้าว(ในสมัยชุนชิว) ต่อมาเมื่อมีการเชื่อมต่อกำแพงเมืองจีนเข้าด้วยกัน ทำให้ด่านนี้มีความสำคัญต่อการป้องกันแผ่นดินจีนเป็นอย่างยิ่ง

ประตูแรก

หลังจากขึ้นรถอุทยาน มันก็มาส่งเราตรงนี้
โดยวันนี้ลมแรงสุดๆ กับอากาศ 1 องศาเซลเซียส

ต้องเดินเข้าไปอีกยาว

ร้านค้าต่างๆปิดกันอย่างกับรู้ว่าจะมีโควิด! (มันหนาวจนไม่มีคนจะมา)

ลมแรงจนโดรนขึ้นไม่ไหว แล้ววิวอลังการงานสร้างมากๆครับ แต่ขึ้นไม่ไหว หนาวเหน็บหัวใจเกินไป

ประตูซ้อนประตู
ภาพมุมรวมๆ
จุดด้านบนแต่ไม่ใช่บนสุด

และในช่วงบ่ายของวันเดียว เราก็ได้เดินทางไปยัง “อุทยานเขาหลู่หยา-芦芽山” ซึ่งเป็นจุดตั้งของ “หมู่บ้านลอยฟ้า” และ “ถ้ำหิมะหมื่นปี” ซึ่ง อุทยานเขาหลู่หยา นั้นมีความน่าอัศจรรย์ตรงที่ว่า เขาลูกนี้ยังมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ และ ข้างๆ ภูเขาไฟก็มีถ้ำหิมะหมื่นปี ที่มีน้ำแข็งภายในถ้ำตลอดทั้งปี และ ยังดีที่เราแวะกำแพงเมืองจีนไปแล้ว เพราะทางเข้าหมู่บ้านลอยฟ้า มีหิมะกองหนาเลย ถึงเข้าไปได้ ก็เดินไม่ได้อาจพลาดตกมาได้ จึงขับรถลุยหิมะเข้าไปจนถึงบริเวณทางเข้าถ้ำน้ำแข็งได้ วันนั้นบริเวณอุทยานแห่งนี้หิมะตกมาไม่หยุดเลยครับ

หิมะเริ่มหนาประมาณ 30 ซม ยัง งงๆ รถเข้ามาได้ไงวะ
คนที่เข้าไปก่อนเราแต่ละชุดจะใช้เวลา เดินชม ประมาณ 15 นาที แต่พวกเราน่าจะนานกว่านั้น

สำหรับผู้มีอาการกลัวที่แคบก็จะเกร็งๆ นิดหน่อย

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการกินไอติม สถานที่แห่งนี้คงเป็นสวรรค์ไปเลย

ทางเดินจะวนไปวนมา แท่งน้ำแข็งแท่งเดิมเราก็จะได้เห็นทุกๆมุม
เวลาไม่มีไฟสีๆ ก็จะดูดิบๆ ไม่มีแสงจากภายนอกเข้ามา

แสงที่เกิดในถ้ำเป็นแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้น้ำแข็งในถ้ำนี้มีมากมายหลากหลายสี

ส่วนตัวผมชอบสีนี้

ตกเย็นในวันนี้ก็พักกันที่หน้าอุทยานเลยครับ เป็นที่พักที่สภาพดีพอตัว แต่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักแค่ สองกลุ่ม คือ เรา กับ คนจีน ทั้งโรงแรมมีแค่นี้จริงๆ เหมือนเดือนนี้จะไม่มีนักท่องเที่ยวมาที่ มณฑลซานซี กันสักเท่าไหร่นะครับ

โล่งเลยคน
สภาพห้องพักถือว่าใช้ได้

วันที่ 4 ของการเดินทางก็จะใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบกันละครับ โดยเราจะพักกันที่เมืองโบราณชี่โค่ว เมืองเก่าแก่ริมแม่น้ำเหลืองฮวงโห(หวงเหอ) ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า สวยที่สุดในโค้งแรก แห่ง น้ำหวงเหอ(ฮวงโห) ซึ่งถ้าอ้างอิงตามการดูลักษณะ ฮวงจุ้ย หมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ “หงส์” นั่นเองครับ และใกล้ๆ กันก็จะมีหมู่บ้านเล็กๆ ตามเนินเขาที่เรียกว่า “หลี่เจียซาน”

ภาพทิวทัศน์หลี่เจียซาน

ในอนาคต “หลี่เจียซาน” แห่งนี้น่าจะได้รับการจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่ออย่างแน่นอน

แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความเก่าแก่
ผิงเสาบ้าน
หลี่เจียซาน

คนบริเวณนี้ในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการอาศัยในบ้านกึ่งแบบถ้ำ

เป็นสถานที่หนึ่งที่เงียบสงบ และ ตัวผมรู้สึกชอบมากจริงๆครับ

มีคนชอบมานั่งวาดภาพสถานที่แห่งนี้กันพอสมควรเลย

และในวันนี้ช่วงบ่ายของวันตลอดวัน จะเป็นการใช้เวลาแบบชิวๆ ในเขตเมืองโบราณชี่โค่ว ใครอยากทำอะไรเดินไปไหว้พระ ตลาดเก่าเงียบๆ เหมือนดั่งโดนโควิด ก็เดินได้ตามสบาย

ภาพหมู่หน้าเมืองโบราณ
ของเก่าในบ้านเก่า
วิวพระอาทิตย์ใกล้ตกบริเวณโค้งแม่น้ำ

ไกลๆ นั่นคือโค้งน้ำนะครับ

วัดมังกรดำด้านบนหมู่บ้าน
ตลาด
ในที่พัก

Exit mobile version