เกาะราชา-จังหวัดภูเก็ต
เกาะราชา สวรรค์ในทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต
2ปีเต็มๆที่ผมว่างเว้นจากการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัดไกลๆ นับจากประเทศ
ประสบกับภาวะทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2540 แต่ในปี 2542 นี้เหตุการณ์โดย
ทั่วไปมีแนวโน้มค่อนข้างดีขึ้น ธุรกิจการท่องเที่ยวรวมไปถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับ
การท่องเที่ยวเริ่มดูคึกคัก หลายจังหวัดได้ตอบรับกับปี Amazing Thailand พร้อมกับได้
จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดของตนเอง
ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ผมเดินทางมาค่อนข้างจะบ่อย ทั้งนี้เพราะชีวิตตัวเองได้ผกผัน
ให้มาผูกพันกับคนภูเก็ตไปแล้ว ดังนั้นในเดือนเมษายนหรือช่วงระหว่างสงกรานต์
จึงถือโอกาสลาพักร้อน เดินทางด้วยรถส่วนตัวตระเวนเที่ยวในหลายจังหวัดทางภาคใต้
แล้วมาจบลงที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวและถือโอกาสพาสมาชิกของครอบครัว
มาเยี่ยมญาติพี่น้องพร้อมกันไปด้วย ด้วยเหตุนี้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในจังหวัดภูเก็ตจึงคุ้นเคยมาแล้ว
เป็นส่วนใหญ่
“เกาะราชา“ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูนัก ผมอ่านเจอในหนังสือนิตยสาร อ.ส.ท. เล่มเก่าๆย้อนหลังไปราว 2 ปี บอกว่าเกาะแห่งนี้เป็นสถานท่องเที่ยวแห่งใหม่ของทะเลภูเก็ตซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก สอบถามจากเพื่อนฝูงหลายๆคนที่คุ้นเคยกับเที่ยวทะเลก็ไม่มีใครเคยไป แต่เห็นภาพทะเลสวยๆที่ลงไว้ในหนังสือ อสท. ดึงดูดความสนใจไม่น้อย เลยต้องจัดโปรแกรมเที่ยวเกาะราชาไว้ในทริปของการเดินทางในครั้งนั้น
จากประสพการณ์ที่เคยมาเกาะภูเก็ตอยู่บ่อยครั้งในช่วงเดือนเมษายนของแต่ละปี มักจะเห็นความไม่แน่นอนในเรื่องพายุฝนหรือลมมรสุมที่อาจรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถออกทะเลไปเที่ยวไกลๆได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวที่คุ้นเคยกับการเที่ยวทะเลในย่านนี้มักจะทราบกันดีว่า เมื่อย่างเข้าเดือนเมษายนไปแล้วโอกาสเจอมรสุมเป็นไปได้ค่อนข้างมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเริ่มเบนเข็มไปเที่ยวทะเลบริเวณอ่าวไทยแทนเช่นเกาะสมุยเป็นต้น ซึ่งทะเลอ่าวไทยในช่วงนั้นจะปลอดภัยกว่า
“มรสุมเข้าฝั่งทะเลด้านอันดามัน”
มันเป็นข่าวที่สร้างความผิดหวังให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในช่วงกลางเดือนเมษายน ปี 2542 ฝนตกติดต่อกันหลายวันอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะออกไปธุระที่ไหนก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่กับบ้านไปหลายวัน กรุ๊ปทัวร์ต่างชาติที่ตั้งใจมาเที่ยวเกาะ พีพี โดยเฉพาะต่างผิดหวังไปตามๆกัน ขณะเดียวกันบริษัทท่องเที่ยวต่างปรับเปลี่ยนโปรแกรมกันโกลาหล เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวต้องเตร่
กันอยู่ที่โรงแรมทั้งวัน ทำให้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งในภูเก็ตมีลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นในช่วงนี้
แม้ว่าจะมีลมมรสุมและฝนตกต่อเนื่องจนกรมอุตุฯออกประกาศเป็นระยะๆแต่ก็ยังมีบริษัททัวร์ รวมทั้งบริษัทเรืออีกหลายแห่งไม่ยอมหยุดวิ่ง
ยังคงรับนักท่องเที่ยวออกทะเลตามปกติ เพราะช่วงเวลานั้นกำลังเป็นโอกาสทองของธุรกิจท่องเที่ยว ที่หลายกิจการพึ่งจะฟื้นตัวเป็นครั้งแรก จากภาะวะทางเศรษฐกิจที่ซบเซามานาน อีกอย่างหนึ่งก็อาจเห็นว่าเหตุการณ์ยังไม่ถึงขั้นรุนแรงก็เป็นได้ แต่ผลสุดท้ายก็พาเอานักท่องเที่ยว ไปติดค้างอยู่ที่เกาะสิมิลันกันเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถฝ่าคลื่นลมกลับมาได้ กองทัพเรือจึงต้องทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือโดยนำเรือออกไป รับกลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ในครั้งนั้นสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวต่างตำหนิบริษัททัวร์ที่มุ่งแต่จะหาผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงความ
ปลอดภัย รวมทั้งไม่ได้ให้ข้อมูลล่วงหน้าในเรื่องสภาพอากาศแก่นักท่องเที่ยวเพื่อตัดสินใจในการเดินทาง
ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์และติดตามข่าวนี้มาหลายวัน ภาวนาขอให้มรสุมผ่านพ้นไปเสียทีเพราะเวลาที่ผมจะอยู่ภูเก็ตนี้ก็เหลือน้อยเต็มทน
อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะครบกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว
และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ………
เช้าตรู่วันหนึ่งขณะกำลังนั่งซดกาแฟพื้นบ้านที่ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่งที่นอกตัวเมืองภูเก็ต วันนี้เห็นแดดอ่อนๆค่อนข้างสดใส ดูแล้วน่าจะออก ทะเลได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่ด้วยความไม่แน่ใจจึงสอบถามเจ้าของร้านกาแฟซึ่งเป็นอดีตชาวประมงผู้มากด้วยประสพการณ์คนหนึ่ง
เค้าเดินออกไปนอกชายคาแล้วแหงนมองฟ้า บอกว่า “วันนี้ไปได้ไม่มีปัญหา”
เท่านั้นแหละครับ ผมรีบเข้าบ้านจัดแจงติดต่อบริษัทเรือทันที เมื่อทราบว่ามีที่ว่างและสามารถเดินทางไปขึ้นเรือได้ทัน จึงจัดแจงขนสัมภาระ และเรียกคนขึ้นรถทันที ที่ลืมไม่ได้ก็คือกระเป๋ากล้องพร้อมฟิล์ม และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ผมรีบออกรถโดยไม่รอช้าเพื่อมุ่งสู่อ่าวฉลอง
ซึ่งเป็นท่าเรือไปเกาะราชา
อ่าวฉลองอยู่ห่างจากตัวเมืองไปอีกราวๆสิบกว่ากิโล เรือจะออกจากท่าเวลา 9.30 น. ขณะนั้นก็จวนเจียนเต็มทีแล้ว
เช้านี้ผมขับรถด้วยความสดชื่น เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจีสองข้างทางที่ยังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่พึ่งผ่านพ้นไปหมาดๆจากเมื่อคืน
นี้เอง และคงจะเป็นการเริ่มชีวิตใหม่หลังผ่านพ้นมรสุมไปแล้ว
ผมใช้เวลาไม่นานนักก็ขับรถมาถึงห้าแยก เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปที่อ่าวฉลองซึ่งเป็นท่าเรือที่จะไปยังเกาะต่างๆ ผ่านถนนลูกรังที่แคบๆและ
ขรุขระ ซึ่งขณะนี้มีน้ำเจิ่งนองเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว เป็นหลักฐานยืนยันว่าคงผ่านฝนมาอย่างโชกโชน
หลังจากหาที่จอดรถในดงมะพร้าวซึ่งปรับให้เป็นที่จอดรถได้แล้วก็มาติดต่อกับบริษัททัวร์
ยังพอมีเวลาทานข้าวเช้าหลังติดต่อจ่ายเงินค่าเรือเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ 350 บาทรวมอาหารตลอดรายการ เด็กๆก็คิดราคาพิเศษตามแต่
จะต่อรอง
แสงแดดอ่อนๆที่เห็นในตอนเช้านั้นรู้สีกว่าจะเริ่มแรงกล้าขึ้นทุกขณะ เมฆที่เห็นบางๆก่อนหน้านี้ เริ่มจางหายกลายมาเป็นท้องฟ้าสีน้ำเงินแทน ทะเลก็ดูราบเรียบไม่มีวี่แววให้เห็นเลยว่าพึ่งจะผ่านมรสุมที่รุนแรง แต่ยังพอเห็นร่องรอยอยู่บ้างตามชายฝั่งที่เห็นเศษกิ่งไม้ใบไม้ลอยตามผิวน้ำใกล้ฝั่งมากกว่าปกติเท่านั้นเอง
นี่แหละธรรมชาติมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ที่ผ่านมาฝนกระหน่ำเกาะภูเก็ตและบริเวณใกล้เคียงเป็นเวลาหลายวัน แต่ขณะนี้ได้เคลื่อนตัวออกไปยังมหาสมุทรอินเดียแล้ว ซึ่งคงสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับบริเวณนั้นต่อไป ส่วนเกาะภูเก็ตหลังจากมรสุมผ่านพ้นไปแล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ การท่องเที่ยวทางทะเลคงจะคึกคักเหมือนเดิม อ่าวฉลองซึ่งเป็นท่าเรือท่องเที่ยวที่สำคัญมีเรือเจตสีขาวๆให้เช่าจอดอยู่หลายลำนับจากวันนี้ไปคงมีโอกาสทำเงินอีกไม่น้อย
เมื่อได้เวลาไกด์ก็พาพวกเราเดินไปที่ท่าเทียบเรือ เรือที่จะพาพวกเราไปกันนี้มีสองชั้นดูค่อนข้างลำใหญ่ น่าจะจุคนได้เป็นร้อย แต่คณะของเราเที่ยวนี้มีไม่เกิน 30 คน บนเรือจึงดูโหรงเหรง เสื้อชูชีพที่แขวนเต็มราวเรือจึงเหลือเฟือสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้ ทุกคนจึงเลือกและลองใส่ให้พอดีตัวกันตามสบายโดยไม่ต้องแย่งกันเหมือนกับที่เห็นในที่อื่นๆ
เมื่อเรือออกไกด์ก็ทำหน้าที่บรรยายสรุปในโปรแกรมการเดินทางว่าจะแวะที่ใหนบ้าง ทั้งพูดไทยและอังกฤษซึ่งทริปนี้มีฝรั่งและชาวจีน
สิงคโปร์ร่วมมาด้วย ไกด์บอกว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ท้องฟ้าเปิดซึ่งก่อนหน้านี้เจอฝนกันตลอดทุกเที่ยวเรือโดยที่เรือยังคงออกวิ่งตามปกติ
ไม่มีวันหยุด
ขณะที่ไกด์กำลังสาธยายอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นป้ายภาษาอังกฤษอยู่บนเรือ เตือนนักท่องเที่ยวไม่ไห้ยืนหรือเหยียบลงไปบนแนวประการังใต้น้ำ ซึ่งเป็นการทำลายสภาพแวดล้อม แต่ในใจผมกลับคิดว่าน่าจะทำป้ายเตือนเป็นภาษาไทยมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นคนไทยทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อมในบ้านเราก็มาจากน้ำมือคนไทยด้วยกันนี้แหละ
ไกด์บรรยายไปขณะที่เรือก็แล่นขนานกับเกาะภูเก็ตมาเรื่อยๆ และเริ่มทิ้งห่างจากเกาะ
ตรงปลายแหลมพรหมเทพซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะมาดูพระอาทิตย์ตกของช่วง
เวลาเย็นกันอย่างล้นหลามในแต่ละวัน ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด
ของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ยิ่งในระยะหลังๆนี้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากจนทำให้
การจราจรบนเนินเขาแห่งนี้มีปัญหา ต้องจอดรถตามไหล่ทางและเดินเท้าต่อเพื่อขึ้นไป
ดูพระอาทิตย์ตก
ภูเขาบริเวณนี้เป็นเขาสูงที่เขียวขจี มองแล้วก็ไม่ค่อยมีบ้านคนเท่าใดนัก ดูเป็นป่า
เป็นสวนมะพร้าวของชาวบ้านแ แต่ก็ยังมีบ้านหลังใหญ่ของผู้มีฐานะมั่งคั่งโผล่ที่เชิงเขา
อย่างโดดเด่นเห็นแล้วก็อดนึกอิจฉาไม่ได้
เมื่อเรือพ้นจากเกาะภูเก็ตเข้าสู่กลางทะเลแล้วก็จะเห็นท้องฟ้าแจ่มใสขึ้น น้ำทะเลก็เริ่มเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มซึ่งหมายถึง เรือเริ่มพาเข้าสู่ความลึกมากขึ้นๆทุกขณะ ท้องฟ้าแม้จะดูปลอดโปร่งและปลอดภัยจากคลื่นลมแล้ว แต่ถ้ามองออกไปนอกเรือก็จะเห็นทะเลพริ้วไหวโยนตัวเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ คล้ายกับผืนน้ำนั้นเป็นแผ่นผ้าใบขนาดยักษ์ที่มีพลังมหาศาลดันน้ำทะเลให้กระเพื่อมขึ้นลงเนิบนาบ ช้าๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เรือลำใหญ่ที่นั่งไปนี้ดูเล็กมากเมื่อเทียบกับคลื่นที่ว่านี้ ทุกครั้งที่ผืนน้ำทะเลดันตัวเองขึ้นลงเมื่อใด เรือก็จะโยกตัวเองขึ้นลงตามคลื่นเช่นกัน
เหมือนหยอกล้อกันอยู่บนผิวน้ำตลอดเวลา
นั่งดูคลื่นไปจิตใจก็คิดเลยเถิดไปว่า นี่ถ้าเรือลำนี้อยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ เหมือนพายุเกย์แล้ว คงจะถูกคลื่นลูกโตๆกระหน่ำกดลงจนดำดิ่งใต้ทะเลแน่ๆ ทั้งเรือและมนุษย์ทั้งหมดนี้จะเหลืออะไร ใครว่ายน้ำเป็นก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ ดูคลื่นนานๆแต่ทำไมใจดันไปคิดเรื่องไม่เป็นมงคล ก็ไม่ทราบได้ ขณะนั้นก็รู้สึกชักเวียนหัวที่ไปนั่งมองคลื่นเกือบตลอดเวลา เลยต้องหันหน้ากลับมามองอย่างอื่นในเรือแทน ไม่เช่นนั้นอาจออกอาการเมาคลื่นจนอาเจียนก็เป็นได้
ประมาณชั่วโมงเศษก็มาถึงอ่าวเล็กๆแห่งหนึ่งของเกาะราชา เรือทอดสมอเพื่อให้ว่าย
น้ำดูปะการังกัน หลายคนเตรียมพร้อมอยู่แล้วพอเรือจอดทอดสมอได้ก็กระโดดน้ำกัน
ตูมตาม โดยมีไกด์กระโดดนำไปก่อนเป็นคนแรก ผมใส่ชูชีพพร้อมหน้ากากครบชุดแล้ว
ค่อยๆหย่อนตัวลงน้ำไปพักใหญ่แล้วจึงขึ้นมา ไม่ไหวจริงๆกระแสน้ำเชี่ยวมากเหมือนกับ
ทะเลน้ำวน กระแสน้ำคอยแต่จะดันเรามุดเข้าใต้ท้องเรืออยู่เรื่อย
น้ำทะเลบริเวณนี้สวยและใสมากจนเห็นใต้ท้องเรืออย่างชัดเจน แต่ปะการังที่เห็นในแถบนี้
ดูแล้วน่าจะสู้แถวๆเกาะพีพีไม่ได้ ที่นี่เหมือนกับเป็นสุสานปะการังที่ตายไปแล้วมากกว่า
ซากหักๆมีให้เห็นอยู่เต็มไปหมด
หลังจากที่ขึ้นมาบนเรือแล้วก็ได้ยินเสียงไกด์ตะโกนโหวกเหวกทั้งไทยและอังกฤษ
โบกไม้โบกมือไม่ให้ลูกทัวร์ว่ายไปในบริเวณน้ำเชียวที่อาจเป็นอันตรายได้ หลายคนก็
เชื่อฟังแต่คนที่ว่ายน้ำเก่งๆดูจะไม่ค่อยแคร์เสียงเรียกเท่าใดนัก เพราะเห็นว่ายออกไป
ไกล จนเกือบจะไปปะปนกับนักท่องเที่ยวที่มากับเรือลำอื่น ซึ่งอาจมีปัญหาในการควบ
คุมดูแล ซึ่งบ่อยครั้งที่ลูกเรือพลัดหลงไปอยู่กับทัวร์กรุ๊ปอื่น
ผมค่อนข้างจะแปลกใจว่าทำไมจุดที่พวกเราว่ายน้ำดูประการังอยู่นั้นมันอยู่ใกล้ๆกับเกาะ
แต่มีคลื่นใต้น้ำค่อนข้างแรงเหมือนกับอยู่กลางทะเล ก็ได้คำตอบจากไกด์ว่า เกาะราชา
เป็นเกาะที่อยู่กลางทะเล รอบๆเกาะก็มีคลื่นใต้น้ำพัดผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลาเมื่อเจอกับ
โขดหินใต้น้ำก็จะเปลี่ยนทิศทางจึงดูคล้ายกับน้ำที่วนหมุนไปมา อีกประการหนึ่งเกิดจาก
อิทธิพลของลมมรสุมที่พึ่งผ่านพ้นไปทำให้ทะเลในบริเวณนี้ยังไม่สงบนัก คงต้องรออีกระยะหนึ่ง ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
หลังจากที่ว่ายน้ำกันได้ไม่นานไกด์เรียกให้ขึ้นเรือ บอกว่าจะไปขึ้นฝั่งที่เกาะราชากันแล้ว ขณะเดียวกันก็มีเรือหางยาวเข้ามาเทียบที่ท้ายเรือ โดยสารเพื่อมารับคนไปเกาะ พวกเรากว่าจะลงเรือได้ก็รู้สึกลำบากเพราะกระแสน้ำเชี่ยวมากพัดพาเรือหางยาวแกว่งโคลงเคลงไปมาปัดซ้ายที ขวาทีจนผู้โดยสารลงเรือค่อนข้างลำบาก ทั้งไกด์และเด็กเรือต้องทำงานหนัก ดูสีหน้าของไกด์ในขณะนั้นแล้วค่อนข้างจะกังวลไม่น้อยกับ เรือหางยาวที่ดูไม่ค่อยจะนิ่ง ทำให้หลายคนไม่กล้าลง
“เร็วหน่อยครับๆ” เสียงไกด์เร่งให้ขึ้นเรือพร้อมกับเดินตรวจความเรียบร้อยบนเรือ
“อย่าช้าครับ รีบๆหน่อยครับ…..ลงเรือแล้วให้เดินไปนั่งท้ายเรือเลยนะครับ….”
แค่ลงเรือดูเหมือนง่าย แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยคุ้นเคยแล้วก็ดูจะยุ่งยากไม่น้อย คนที่ลงก่อนมักจะหาที่นั่งกลางลำเรือซึ่งกว้างกว่า
ส่วนอื่นทำให้ลืมนึกไปว่า ไปขวางทางคนที่กำลังทยอยลงเรือ ไกด์จึงต้องบอกให้ขยับกันอยู่เรื่อย ผมเลือกที่จะลงคนสุดท้ายเพราะจะได้อยู่ ตรงหัวเรือซึ่งสามารถถ่ายภาพบรรยากาศผู้คนบนเรือได้บนเรือได้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเรือก็แผดเสียงคำรามพร้อมกับหันหัวเรือบ่ายหน้า ไปยังชายหาดของเกาะราชาทันที ทิ้งให้เรือใหญ่ทอดสมออยู่อีกด้านหนึ่งของเกาะอย่างโดดเดี่ยว
เมื่อเรือหางยาวพาเข้าใกล้ฝั่ง ก็ยิ่งเห็นความสวยงามของท้องทะเลบริเวณชายหาดแห่งนี้มากขึ้น มองออกไปไกลๆจะเห็นน้ำทะเลแบ่งเป็นสอง สีสีน้ำเงินเข้มกับสีฟ้าหม่นๆ ดูแปลกตามาก ซึ่งยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน หาดทรายที่นี่ก็ขาวสะอาด ดูแล้วมันช่างตรงใจที่อยากเห็นทะเลแบบนี้จริงๆ
ผมค่อนข้างตื่นเต้นกับหาดทรายที่ขาวเนียนและละเอียดเช่นนี้มาก เวลาเหยียบลงไปด้วยเท้าเปล่านี่มันนุ่มเท้าจริงๆ และทุกครั้งที่คลื่นซัด
ชายหาดเม็ดทรายที่ละเอียดก็จะฟุ้งกระจายเหมือนฝุ่นแป้งไม่มีผิด
ผมมีเวลาชื่นชมและได้ถ่ายภาพแถวๆชายหาดไม่นานนัก เพราะไกด์ได้เรียกให้พวกเรา
เดินหน้ากันต่อไปหลังจากที่ทยอยมาจนครบแล้ว จากหาดทรายเล็กๆก็เดินลัดเลาะผ่าน
สวนมะพร้าวที่ขึ้นอยู่หนาแน่น มีบ้านมุงจากอยู่ 2-3 หลังตามเส้นทางที่ผ่าน ซึ่งน่าจะเป็น
ของเจ้าของสวนมะพร้าว ทางเดินบางแห่งก็พบแอ่งน้ำขังคล้ายลำธารซึ่งน่าจะเป็น
ร่องรอยของมรสุมที่พึ่งผ่านไปไม่นานนี้เอง
ผมเดินรั้งท้ายคุยกับไกด์ไปตลอดทาง ทั้งนี้ก็เพราะว่ามัวแต่หยุดถ่ายภาพเป็นระยะๆ แล้วก็วิ่งตามกลุ่มไปหลังถ่ายภาพเสร็จ เดินกันได้ราวๆครึ่งชั่วโมงก็เห็นหาดทราย
ที่สวยงามอยู่เบื้องหน้า
” โอ…….” ผมตะลึงและตื่นเต้นกับภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นมาก
หาดทรายที่ใหญ่โตขาวสะอาด ท้องทะเลก็ออกสีฟ้าครามเข้มดูสวยงามยิ่ง นึกไม่ถึงว่า “เกาะราชา” จะมีความสวยงามเพียงนี้
“เกาะสวรรค์”
คงไม่เป็นคำพูดที่โอ้อวดเกินไปที่จะนำมาเปรียบเทียบกับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในวินาทีแรกที่เห็น ผมหยุดเดินและเพ่ง
มองภาพข้างหน้าอย่างตื่นตาและดีใจ พร้อมกับยกกล้องถ่ายภาพนั้นไว้ 1 ภาพ มันช่างสวยงามต่างจากที่จินตนาการไว้มากเลยทีเดียว
สีของน้ำทะเลดูสดไสบริสุทธิ์มาก ระลอกคลื่นที่ชัดเข้าหาฝั่งดูขาวและใสสะอาดชวนให้ลงไปสัมผัสยิ่งนัก
เมื่อเดินลงไปชายหาดแล้วผมก็เริ่มสำรวจเพื่อบันทึกภาพในมุมมองที่เห็นว่าสวยงาม
ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรงที่กำลังแผดเผาหาดทรายขาวๆแห่งนี้ในเวลาก่อนเที่ยง
นักท่องเที่ยวที่มาด้วยกันต่างก็แยกย้ายลงเล่นน้ำโต้คลื่นอย่างสนุกสนาน รายที่กลัว
แสงแดดมากๆก็หลบมุมตามร่มไม้ชายคา เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งดูจะดังกว่าปกติและเป็น
คลื่นลูกโตกว่าที่เห็นทั่วไปทั้งนี้ก็เพราะว่าหาดแห่งนี้อยู่บนเกาะกลางทะเล ด้านหน้าของ
ชายหาดหันออกไปสู่ทะเลอันดามันซึ่งเลยไปถึงมหาสมุทรอินเดียอันไกลโพ้น ชายหาด
แห่งนี้จึงรับลมทะเลอย่างเต็มที่
นอกจากนี้อิทธิพลของลมมรสุมก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชายฝั่งแห่งนี้มีคลื่นลมแรง
ทุกครั้งที่มีคลื่นลูกโตๆซัดเข้าหาฝั่งเสียงจึงดูเสียงดังและค่อนข้างรุนแรง แต่ก็ไม่เป็น
อันตรายต่อการเล่นน้ำแต่อย่างใด คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเกาะที่อยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลเช่นนี้
วันนี้บริเวณชายหาดดูค่อนข้างเงียบเหงา นอกจากนักท่องเที่ยวกลุ่มเรานี้แล้วเกือบจะไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเลย จะมีบ้างก็เป็นนัก
ท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ไม่เกิน 10 คนซึ่งคงมาพักแรมที่นี่กันหลายวันแล้ว คิดว่านับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปนักท่องเที่ยวก็คงทะยอยมามากขึ้น
ตามลำดับเพราะไม่มีมรสุมให้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
ผมเดินเก็บภาพบริเวณชายหาดไม่นานนัก เพราะแสงแดดจัดๆที่สะท้อนหาดทรายสีขาว
ทำให้เพิ่มแสงแรงกล้าเป็นทวีคูณ หมวกและแว่นตากันแดดดูเหมือนว่าจะช่วยอะไร
ไม่ได้มากนัก เกือบจะหน้ามืดเอาเหมือนกันจึงต้องหาร่มเงาพักสายตาเป็นระยะๆ
ปีกซ้ายของชายหาดมีเนินเขาเตี้ยๆสามารถเดินขึ้นไปได้ตามก้อนหินที่ปรับให้เป็นขั้น
บันไดข้างบนนี้ลมทะเลพัดเย็นสบายตลอดเวลา ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่าน มันช่างเป็น
อากาศที่บริสุทธิ์มาก ผมนั่งพักบนโขดหินอย่างสบายใจใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ที่มีใบหนา
ทึบจนไม่อยากจะลงไปสู้แดดข้างล่างนั้นเลย เลนส์ขนาด 20-35 ม.ม. เก็บภาพชายหาด
ข้างล่างนี้ได้หมดเห็นทั้งปีกซ้ายและขวาของหาด ทะเลที่เห็นข้างหน้านั้นดูแล้วเหมือน
อ่าวที่เว้าเข้ามาในเกาะ ยิ่งมองไกลๆสีน้ำทะเลก็ยิ่งเข้มมาก ก็คงหมายถึงเป็นเขตทะเลลึก
ที่ไปไกลถึงมหาสมุทรอินเดีย
อ่าวที่เห็นข้างหน้านั้นไม่มีเรือโดยสารหรือเรือประมงจอดแม้แต่ลำเดียวก็คงตรงกับคำพูดของไกด์ที่ว่า ชายฝั่งของเกาะราชาด้านนี้มีคลื่นลมแรง เรือทุกลำจะหลบไปจอดหลบลมอยู่ด้านอื่นเพื่อความปลอดภัย
ไกด์บอก ในแต่ละวันก่อนที่เรือท่องเที่ยวจะพานักท่องเที่ยวมาที่เกาะ ก็จะต้องมีการตรวจสอบตรวจเช็คสภาพคลื่นลมก่อนทุกครั้ง และจะพานักท่องเที่ยวขึ้นฝั่งด้านที่ปลอดภัยกว่า
นั่งกินลมบนเนินเขาอยู่พักใหญ่ก็ลงมาเดินที่ชายหาด ยิ่งเดินลงไปใกล้ทะเลก็จะได้ยินเสียงคลื่นลูกใหญ่ซัดกระหน่ำโขดหินด้านซ้ายของหาดจนดังสนั่น และแตกเป็นฟองสีขาวบริสุทธิ์แผ่กระจายทั่วชายหาดครั้งแล้วครั้งเล่า ผมนั่งที่เก้าอี้ชายหาด ซึ่งมีร่มกางไว้กันแดดเป็นการหยุด พักสายตาจากแสงแดดอันร้อนแรง นั่งดูคลื่นกระทบฝั่งลูกแล้วลูกเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อ คลื่นลูกโตที่เห็นน้ำทะเลออกสีเขียวมรกตสะท้อนแสงระยิบระยับค่อยๆก่อตัวและเคลื่อนเข้าหาฝั่งอย่างช้าๆ มันเป็นภาพที่ชวนมองอย่างยิ่งทำให้นึกไปว่าน้ำทะเลที่อยู่กลางทะเลึกเช่นนี้ช่างสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลภาวะจริงๆ
“นั่งพักตรงนี้นานแล้วหาอะไรเย็นๆมาดื่มแก้ร้อนหน่อยถ้าจะดี ”
ผมเดินไปยังปีกขวาของชายหาดซึ่งบริเวณนั้นเป็นโขดหินก้อนใหญ่ตั้งระเกะระกะ
เห็นมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียวที่มองเห็นได้ในแถวๆนั้นปลูกอยู่บนเนินเขาเหนือโขดหิน
ในร้านตกแต่งแบบสไตล์ Jungle ดูแล้วช่างเข้ากับบรรยากาศของเกาะที่เป็นธรรมชาติ
แบบนี้
ผมสั่งผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาจากไอทะเล และสั่งน้ำเย็นมาดื่มแก้กระหาย ในมุมที่เห็น
วิวชายหาดชัดเจนซึ่งมองเห็นนักท่องเที่ยวกำลังโต้คลื่นลูกโตๆกันอย่างสนุกสนาน
ที่นี่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านและเป็นเจ้าของรีสอร์ตใกล้ๆกันนั้นด้วย
เป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ชื่อ อิบบราฮิม เป็นคนไทยมูสลิม บอกว่า
” เกาะราชานี้พึ่งจะเป็นที่รู้จักกันเมื่อ 2- 3 ปี มานี้เอง ผมก็เข้ามาทำรีสอร์ทตอนที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามากันมากๆนี่แหละ ”
” ผมไม่ใช่คนที่นี่แต่เป็นคนภูเก็ต……….” เจ้าของร้านเล่าความเป็นมาให้ผมฟัง
” ผมมีรีสอร์ตเป็นบ้านพักหลังเล็กๆ อยู่บนเนินเขาอยู่หลังร้านอาหารนี้ไม่กี่หลัง ….. ช่วงเย็นๆบรรยากาศที่นี่จะสวยมาก ถ้าใครชอบเงียบๆ
และสงบๆ ไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ที่นี่จะเหมาะมาก ”
“ตอนกลางคืนราวๆ 4 ทุ่ม เราจะปิดไฟ เพราะที่นี่ใช้ไฟปั่นจากเครื่องทำไฟ บนเกาะนี้ยังไม่มีไฟฟ้า…” เจ้าของรีสอร์ทกล่าวในเชิงเชิญชวน
“แล้วราคาค่าที่พักละเท่าไหร่….ค่าอาหารละแพงไม้…” ผมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกับอยากทราบราคาอาหารด้วย เพราะดู
สภาพแล้วผู้ที่มาพักยังไงๆก็หนีไม่พ้นต้องทานที่นี่ ร้านอื่นนั้นมองหาไม่เห็นเลย
” คืนละ 7-800 บาท ครับ นอนได้ 2 คน ส่วนราคาอาหารก็คิดตามเมนู ” เจ้าของรีสอร์ตพูดไปพร้อมหยิบเมนูมาให้ดู
ผมดูราคาอาหารแล้วก็ประมาณคร่าวๆว่าเกือบ 2 เท่าจากราคาปกติบนเกาะภูเก็ต จะว่าแพงก็คงจะแพงเพราะที่นี่ห่างไกลจากฝั่งมา
พอสมควร แต่ก็คงจะเป็นราคาใกล้เคียงกับที่เกาะ พีพี ซึ่งที่นั่นก็ขึ้นชื่อในเรื่องราคาอาหารและของใช้อย่างอื่นที่แพงจนเสียดายเงิน
ใครพกกล้องไปด้วยก็เตือนว่าขนเอาฟิล์มไปให้พอ ไม่เช่นนั้นคุณอาจซื้อฟิล์มที่แพงที่สุดในชีวิตก็เป็นได้
จากนั้นเจ้าของรีสอร์ทก็ให้ข้อมูลการเดินทางมายังเกาะราชา พร้อมกับควักนามบัตรให้ผมไว้ 1 ใบ
“นักท่องเที่ยวสามารถมาได้โดยทางเรือท่องเที่ยวแบบธรรมดาซึ่งใช้เวลาชั่วโมงเศษๆ หรือถ้าต้องการทำเวลาหน่อยก็ว่าจ้างเรือเจ็ตจากอ่าวฉลองมาได้โดยใช้เวลาราวๆ 45 นาทีแค่นั้นเอง คิดค่าโดยสารคนละประมาณ 7-800 บาท เป็นราคาที่ไม่มีอาหารเหมือนเช่นเรือท่องเที่ยว
ใครอยากเดินทางมาแบบด่วนๆ ก็เช่าเรือมาได้จากอ่าวฉลองซึ่งมีให้เช่ามากมายหลายขนาด ขับมาปรืดเดียวก็ถึงแล้ว และเรือเจ็ทนี้สามารถเข้าไปจอดยังหาดทรายได้ทันที เพราะมีน้ำหนักเบาไม่ต้องเสียเวลาถ่ายเรือเหมือนเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่
แม้จะดูว่าธุรกิจเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่กับเรือเจ็ตน่าจะไปด้วยกันได้ดี แต่ความเป็นจริงแล้วกลับมีปัญหากับระบบนิเวศน์ซึ่งคนแถวนั้นเล่า ให้ฟังว่า เรือเจ็ทสามารถเข้าไปในทุกซอกทุกส่วนของเกาะ ซึ่งมีส่วนเข้าไปทำลายระบบนิเวศน์ใต้ทะเล ต่างกับเรือใหญ่ที่ต้องจอดอยู่ภายนอกไม่มีสิทธิ์เข้าไปได้ลึกเหมือนเรือเจ็ท
ผมคุยกับเจ้าของร้านอีกไม่นาน ก็ได้เวลานัดหมายที่ต้องไปขึ้นเรือ คณะเรามาพร้อมตรง
ตามเวลากันทุกคน จากนั้นก็พากันเดินไปที่ฝั่งตรงข้ามผ่านสวนมะพร้าวตามเส้นทางเดิม
เมื่อขึ้นเรือกันครบแล้วอาหารกลางวันถูกวัดวางแบบบุพเฟต์ไว้ที่กลางลำเรือ ปรุงโดย
แม่ครัวพ่อครัวที่อยู่บนเรือนั่นเองในช่วงที่นักท่องเที่ยวออกไปเล่นน้ำกัน ชั้นล่างของเรือ
มีมุมหนึ่งที่เป็นส่วนของห้องครัวโดยซื้อของสดๆจากฝั่งแล้วก็เรื่มลงมือทำในขณะที่เรือวิ่ง
เมื่อได้เวลาก็ก็ยกมาทานกันร้อนๆ รสชาติจึงเหมือนออกจากเตามาใหม่ๆ ยิ่งถ้าแม่ครัว
มีฝีมือหน่อย รับรองว่ามื้อนั้นนักท่องเที่ยวคงเบิ๊ลกันเกือบทุกคน
มื้อนี้รสชาติอาหารค่อนข้างถูกปากถูกใจนักท่องเที่ยว แม้ว่าแกงกะทิจะออกรสเผ็ดตามความนิยมของคนใต้แต่ก็ไม่เห็นมีใครบ่น ยิ่งเป็นชาว
ต่างชาติแล้วก็เห็นทานกันอย่างเอร็ดอร่อย มื้อนี้ผมทานแบบไม่ต้องเกรงใจ อาหารอร่อยบวกกับความหิว แถมมีผลไม้ตบท้ายรายการอีก
ต่างหาก ทานเสร็จเลยต้องนั่งพักพุงกันนานหน่อย
จากนั้นเรือได้จอดแวะให้ดูปะการังอีกสองจุดจึงได้เวลากลับ และถึงอ่าวฉลองในเวลาประมาณห้าโมงเย็น
เกาะราชา ที่ผมมีโอกาสได้มาเที่ยวครั้งนี้ยังดูเป็นเกาะที่มีความเป็นธรรมชาติมาก พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะจะเป็นสวนมะพร้าว ในบริเวณ
ที่รกร้างว่างเปล่าหรือพื้นที่ที่เป็นหินก็มีสภาพคล้ายป่า ที่นี่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตให้เห็น อย่างมากก็เป็นเพียงบ้านพักนักท่องเที่ยวที่ทำด้วยไม้หลังใหญ่แค่สองชั้น และยังไม่ค่อยมีที่พักมากมายนัก ความสะดวกสบายต่างๆยังมีไม่มาก ที่นี่จึงน่าจะเป็นสวรรค์ของผู้ที่รักธรรมชาติ และต้องการความสงบอย่างแท้จริง
“เกาะราชา“ เปรียบเสมือนสาวพรหมจรรย์ ที่รักษาความบริสุทธิ์ไว้มานาน จวบจนผู้คนได้มาพบและได้เห็นความงดงามของเธอ เสียงร่ำลือ
จึงขจรขจายไปทั่วจนเป็นที่ต้องตาต้องใจของนักธุรกิจต่างชาติ ที่ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ตเป็นแม่สื่อแม่ชัก นำพาและอำนวยความสะดวกให้ จนบุคคลเหล่านั้นมีกรรมสิทธิ์ครอบครองในที่ดินบนผืนเกาะแห่งนี้อย่างมากมายหลายแปลง ตามที่เคยตกเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มาได้ระยะหนึ่งราวปลายปี 2541
เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไรนั้น ไม่มีใครทราบได้ แต่จากข่าวแล้วปรากฏว่ามีข้าราชการระดับสูงของจังหวัดได้ออกมายืนยันถึงหลักฐานที่ได้มา
อย่างถูกต้อง ซึ่งความถูกต้องนั้นจะผ่านกระบวนการที่พลิกแพลงพิสดาร กันอย่างไร ก็คงจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่รู้เล่ห์และวิธีการ
เหล่านี้ สิ่งที่น่าแปลกในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือว่า ไม่มีข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่ม NGO เพื่อปกป้องผืนเกาะราชาเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าหายไปไหนกันหมด
” แล้วท้ายที่สุด จนถึงวันนี้สาวพรหมจรรย์ผู้นี้จะพ้นเงื้อมมือ อิทธิพลเถื่อนไปได้หรือไม่ ”
ขอขอบคุณเนื้อหาและรูปภาพจากเวบไซต์ต่าง ๆ
แหล่งที่มาบางส่วน : https://www.thai-tour.com
รูปภาพบางส่วนได้นำมาจากเวบไซต์ : https:// www.siamfreestyle.com