山西 “ซานซี” หรือ มณฑลซานซี เป็นมณฑลที่ชาวไทย ได้ไปเยือนน้อยเป็นอันดับต้นๆ ของมณฑลต่างๆในไทยเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะไม่รู้จัก หรือ ไม่ค่อยมีบริษัททัวร์จัดไป แต่ประเทศจีนนั้นถือว่า มณฑลซานซี นั้นคืออีกจุดสำคัญจุดหนึ่งในจุดกำเนิดประวัติศาสตร์ชาติจีนเลยก็ได้ (ถ้ามีเวลาว่างจะบอกเล่าในตอนถัดไปครับ)
ซึ่งทริปนี้กว่าจะจัดได้ ก็เลือกแต่ที่แปลกๆ แปลกจนเวลาแปลก โดนเทตั๋วเครื่องบินเวลาเปลี่ยนแปลงมั่วไปหมดมา 1 รอบ จนทำให้สมาชิกทริปหายไปกันเยอะพอตัว จนตอนสุดท้ายก็รวมตัวกันได้ 12 คนนั้นละครับ เหมารถตู้ไป 1 คันนั่งสบายๆ กันไปเลย
ซึ่งในวันแรกที่เราไปถึงนั้น เรานั่งเครื่องบินของสายการบิน MU เลยทั้งไปและกลับ และบนเครื่องบิน อาเจ้ชาวจีนทั้งหลายก็ปีนเบาะกันสนุกสนาน ซึ่งรู้สึกว่ามณฑลนี้ชาวจีนแปลกๆ กันจุงเบย ยิ่งพอเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยแล้ว จึงรู้ว่า มณฑลนี้ไม่ค่อยได้เจอชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวมากมายเท่าไหร่นัก ทำให้กว่าจะผ่านไปได้ก็เหนื่อยกันจนตัวเมื่อยเลยครับ วันแรกกว่าจะถึงที่พักก็ล่อเข้าไป 20.00 น.เข้าไปแล้ว วันแรกจึงได้กินก๋วยเตี๋ยวซานซี แถวที่พักเลย (ไม่ได้ถ่ายรูปมาเหนื่อยจัดขี้เกียจตามสไตด์ผมครับ)
วันที่ 2 ของการเดินทางทาง จุดหมายแรกของเราคือ “วัดลอยฟ้า” หรือ วัดเสวียนคง แห่ง เขาเหิงซาน(1ใน 5 ขุนเขาของจีน)
วัดเสวียนคง ภาษาจีน “悬空寺” แปลเป็นไทยว่า วัดแขวน หรือ วัดแขวนไว้กลางอากาศ ชื่อนี้เป็นชื่อพ้องเสียง เพื่อให้เรียกและเข้าใจง่าย แต่จริงๆแล้ว ชื่อวัดนนี้จะเขียนว่า “玄空阁” ซึ่งเสียงที่เรียกจะคล้ายๆ กัน ตัววัดปัจจุบัน มีการสร้างใหม่โดยเลียนแบบของเก่า ในสมัยราชวงค์หมิง และ ชิง ซึ่งตามประวัติศาสตร์วัดจะสร้างในสมัยราชวงค์ “เว่ยเหนือ”(คศ.491)
วัดลอยฟ้าแห่งนี้ เป็น สถานที่ที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอาย ของ ศาสนา 3 แห่งเข้าด้วยกันเป็น 1 เดียว ซึ่ง มีทั้ง “儒 คือ 儒家 หรู่เจีย ซึ่งก็คือ ขงจื้อ” | “释 คือ 释迦摩尼 หรือ ก็คือ พระศากยมุนี(ศาสนาพุทธ)” | “道 คือ 道教 ซึ่งก็คือ เต๋า”
วัดแห่งนี้มีไม้ค้ำหลัก มากถึง 27 ต้น (มันทำไปได้อย่างไร) และ มีการแบ่งห้องในวัดมากถึง 40 ห้อง ทางเดินตอนเข้าวัดถ้าช่วงคนเยอะจะน่ากลัวในระดับหนึ่ง ตอนเดินสวนกันต้องระวังนิดนึงนะครับ ตัววัดหลายๆ ห้องจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ
และนี่คือช่วงบ่าย ซึ่ง เรายังต้องไปในสถานที่อื่นในช่วงเย็นอีกครับ เพราะว่ามันต้องไปให้คุ้มๆ ก่อนที่จะเข้าที่พักกันในคืนนี้
สถานที่ในตอนเย็นของเราก็คือ 1 ใน 4 ถ้ำพระที่ยิ่งใหญ่ของจีน ซึ่งก็คือ “云冈石窟 อวิ๋นกังสือคู หรือ ถ้ำพระอวิ๋นกัง” ซึ่ง 3 ถ้ำพระที่เหลือ นักท่องเที่ยวในจีนส่วนใหญ่ ก็จะรู้จักกันก็จะมี “ถ้ำพระหลงเหมิน เขาไม่จี ถ้ำพระตุนหวง
ต่อมาเราจะมาพูดคร่าวๆ เกี่ยวกับ ถ้ำพระอวิ๋นกัง กันต่อนะครับ ถ้ำพระอวิ๋นกัง มีห้องถ้ำพระ 45 ห้อง ห้องเล็กใหญ่ตามผนังอีก 252 ห้อง มีพระแกะสลักอีกกว่า 51000 รูป
ตอนซื้อตั๋วเข้าสถานที่ จะมีตั๋วรถ แนะนำให้ซื้อนะครับ กว่าจะเดินเข้าไปถึงก็เหนื่อยพอตัวเลย
พื้นที่ก่อนเข้าถ้ำพระจะมีจุดพักผ่อนสวยงามอันใหญ่บะเฮิ่ม
ถ้ำพระอวิ๋นกัง เป็นถ้ำพระที่เป็นต้นแบบของ ถ้ำพระหลงเหมิน แห่ง ลั่วหยาง ถ้ำพระเหล่านี้เอง เป็นเหตุให้ราชวงค์เป่ยเว่ย ล่มสลายลงในเวลาไม่นาน และ ถ้ำพระหยุนกัง ยัง มีการสร้างพระพุทธรูปในถ้ำต่างๆ ที่ชอบเสียดสีการเมือง อย่างเช่น พระพุทธรูปจะชอบมีเป็นคู่ๆ บัดดี้ เหมือนเสียดสี ฮ่องเต้ ต้องมีคนคอยบงการ อยู่ข้างๆ อีกทีนึง
ภาพทางซ้ายนั้น เสียดสีราชสำนัก “เป่ยเว้ย” ที่ ฮ่องเต้ในรัชสมัยที่ 4 ที่ยังไม่ขึ้นครองราช อย่างเป็นทางการ ก็โดนเตะตัดขา เชือดทิ้ง ไปซะละ ช่างฝีมือในสมัยนั้นจะชอบการเสียดสีทางการเมืองใส่ลงไปในผลงาน
ถ้ำพระอวิ๋นกัง กับ ถ้ำพระหลงเหมิน ก็คือถ้ำพี่ถ้ำน้องนะครับ เป็นถ้ำล่มเมืองกันเลยทีเดียว
สักพักก็ดึกแล้ว วันนี้เราพักเมืองใหญ่กันครับ เมืองต้าถง
วันที่ 3 ของการเดินทาง ในตอนเช้าก็ออกแต่เช้าตรู่เลย จากกำหนดการเดิม เราต้องเดินทางไปที่ “万年冰洞 หรือ ถ้ำน้ำแข็งหมื่นปี” ต่อด้วย “悬空村 หรือ หมู่บ้านลอยฟ้า” แต่คนขับรถเกิดอาการเมาตด ขับรถไปที่พิเศษ (หลับกันทั้งคัน ตื่นมาตัวผมยังงง อยู่ไหนแล้ววะ จนเดินสำรวจรอบถึงได้รู้ว่า เรามาถึง กำแพงเมืองจีนด่านสำคัญที่สุดในเมืองจีน ก็คือ “雁门关 หรือ ด่านเยี่ยนเหมินกวน” สำคัญจนมีคำกล่าวว่า “得到雁门关,得到天下 แปลว่า ครอบครองด่านเยี่ยนเหมินกวน ก็เท่ากับครอบครองแผ่นดิน” เพราะด่านตรงจุดนี้เป็นพื้นที่กันชนกับชนเผ่านอกด่านดั้งเดิมของแคว้นจ้าว(ในสมัยชุนชิว) ต่อมาเมื่อมีการเชื่อมต่อกำแพงเมืองจีนเข้าด้วยกัน ทำให้ด่านนี้มีความสำคัญต่อการป้องกันแผ่นดินจีนเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากขึ้นรถอุทยาน มันก็มาส่งเราตรงนี้
โดยวันนี้ลมแรงสุดๆ กับอากาศ 1 องศาเซลเซียส
ร้านค้าต่างๆปิดกันอย่างกับรู้ว่าจะมีโควิด! (มันหนาวจนไม่มีคนจะมา)
ลมแรงจนโดรนขึ้นไม่ไหว แล้ววิวอลังการงานสร้างมากๆครับ แต่ขึ้นไม่ไหว หนาวเหน็บหัวใจเกินไป
และในช่วงบ่ายของวันเดียว เราก็ได้เดินทางไปยัง “อุทยานเขาหลู่หยา-芦芽山” ซึ่งเป็นจุดตั้งของ “หมู่บ้านลอยฟ้า” และ “ถ้ำหิมะหมื่นปี” ซึ่ง อุทยานเขาหลู่หยา นั้นมีความน่าอัศจรรย์ตรงที่ว่า เขาลูกนี้ยังมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ และ ข้างๆ ภูเขาไฟก็มีถ้ำหิมะหมื่นปี ที่มีน้ำแข็งภายในถ้ำตลอดทั้งปี และ ยังดีที่เราแวะกำแพงเมืองจีนไปแล้ว เพราะทางเข้าหมู่บ้านลอยฟ้า มีหิมะกองหนาเลย ถึงเข้าไปได้ ก็เดินไม่ได้อาจพลาดตกมาได้ จึงขับรถลุยหิมะเข้าไปจนถึงบริเวณทางเข้าถ้ำน้ำแข็งได้ วันนั้นบริเวณอุทยานแห่งนี้หิมะตกมาไม่หยุดเลยครับ
สำหรับผู้มีอาการกลัวที่แคบก็จะเกร็งๆ นิดหน่อย
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการกินไอติม สถานที่แห่งนี้คงเป็นสวรรค์ไปเลย
แสงที่เกิดในถ้ำเป็นแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้น้ำแข็งในถ้ำนี้มีมากมายหลากหลายสี
ตกเย็นในวันนี้ก็พักกันที่หน้าอุทยานเลยครับ เป็นที่พักที่สภาพดีพอตัว แต่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักแค่ สองกลุ่ม คือ เรา กับ คนจีน ทั้งโรงแรมมีแค่นี้จริงๆ เหมือนเดือนนี้จะไม่มีนักท่องเที่ยวมาที่ มณฑลซานซี กันสักเท่าไหร่นะครับ
วันที่ 4 ของการเดินทางก็จะใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบกันละครับ โดยเราจะพักกันที่เมืองโบราณชี่โค่ว เมืองเก่าแก่ริมแม่น้ำเหลืองฮวงโห(หวงเหอ) ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า สวยที่สุดในโค้งแรก แห่ง น้ำหวงเหอ(ฮวงโห) ซึ่งถ้าอ้างอิงตามการดูลักษณะ ฮวงจุ้ย หมู่บ้านแห่งนี้ก็คือ “หงส์” นั่นเองครับ และใกล้ๆ กันก็จะมีหมู่บ้านเล็กๆ ตามเนินเขาที่เรียกว่า “หลี่เจียซาน”
ในอนาคต “หลี่เจียซาน” แห่งนี้น่าจะได้รับการจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่ออย่างแน่นอน
คนบริเวณนี้ในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการอาศัยในบ้านกึ่งแบบถ้ำ
เป็นสถานที่หนึ่งที่เงียบสงบ และ ตัวผมรู้สึกชอบมากจริงๆครับ
และในวันนี้ช่วงบ่ายของวันตลอดวัน จะเป็นการใช้เวลาแบบชิวๆ ในเขตเมืองโบราณชี่โค่ว ใครอยากทำอะไรเดินไปไหว้พระ ตลาดเก่าเงียบๆ เหมือนดั่งโดนโควิด ก็เดินได้ตามสบาย
ไกลๆ นั่นคือโค้งน้ำนะครับ
- รีวิว :: ทริปมณฑลซานซี(8-16/11/2019)ตอนที่2:โปลั่งกู่-หุบเขาเกลียวคลื่น(波浪谷)
- รีวิว :: ทริปมณฑลซานซี(8-16/11/2019)ตอนที่3:หุบเขาอวี่ชา(雨岔大峡谷)แอนทิโลบแห่งประเทศจีน
- รีวิว :: ทริปมณฑลซานซี(8-16/11/2019)ตอนที่4:น้ำตกหูโค่ว(壶口瀑布)-เมืองโบราณผิงเหยา(平遥古镇)-บ้านสกุลเฉียว(乔家大院)-ศาลสกุลหวัง(晋祠)