大西北 ต้าซีเป่ย หรือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ของประเทศจีนนั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่จัดขึ้นนะครับ โดยเส้นทางบริเวณนี้ถือว่าเป็นเส้นทางที่มีเสน่ห์ในตัวมันเองเป็นอย่างมาก บรรยากาศ มีเกือบทุกแนวเลยครับ โดยปีนี้ก็ได้จัดช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา โดยแหวกแนวดีครับ เพราะทั่วๆ ไปคนจะจัดกันตอนทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่ต้องแลกมาด้วยอากาศที่โครตจะร้อนอบอ้าว
โดยปีนี้ ก็จัดโดยสบายๆ ไม่เน้นคนเยอะ ไม่เน้นเหมาทัวร์ เพราะเช่ารถแล้ว บริหารเส้นทางกับทีมรถกันเองครับ มีสมาชิก 13 คน โดยปัญหาการเดินทางก็มีในวันแรกเลย ว่าต้องเปลี่ยนเครื่องเยอะ จากปัญหาเครื่องบินรุ่น 737MAX ที่ชอบบินโหม่งพื้นโลก โดยงวดนี้ต้องเปลี่ยนเครื่อง ที่เมืองอวี้ซู่ ทางตอนบนก็ทิเบต ก่อนบินต่อเข้าซีหนิง กันนะคร้าบบบ เมืองนี้สวยแปลกตาพอตัว ห้ามต่างชาติเข้า ก็ว่าไปนั่นก็เลยได้แต่อยู่ตรงสนามบินกันนะครับ
หลังจากนั้นก็บินไปยังซีหนิง รถที่เรานัดไว้ก็มารับกว่าจะถึงที่พักก็ประมาณ 18.00 น. กินข้าวเตรียมพักผ่อน นอนเพื่อลุยกับวันต่อมาละครับ
วันที่ 2 ของการเดินทาง เริ่มต้นตอนเช้า หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จกันแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยัง “วัดถ่าเอ๋อ” กันนะครับ โดยระหว่างทาง ตอนกลางคืน หิมะได้ตกโปรยปรายลงมา เป็นสายไหมนุ่มๆ รอต้อนรับเรากันแว้วววว!
มาเข้าเรื่องมีสาระกันสักนิด “วัดถ่าเอ๋อ” มีที่มาจากไหน วัดถ่าเอ๋อ เป็น 1 ใน 6 สถาบันสงฆ์ ของ ศาสนาพุทธมหายาน (ทิเบต) นิกายหมวกเหลือง ปล.ปกติลามะจะมีหมวกแดงใช่ไหมละครับ เดี่ยวมาต่อกันด้านล่างนะครับ
สาระต่อครับ ปกตินิกายในที่ราบสูง ทิเบต-ชิงไห่ นั้นจะมี 6 นิกายใหญ่ๆ 3 หมวกแดง 1 หมวกเหลือง อีก 2 แอดมินไม่รู้นะ โดยนิกายหมวกเหลือง ผู้นำนิกายมีนามเท่ๆว่า “กาลู” อย่างว่าใครๆก็อยากเป็น เดอะวัน เป็นผู้นำครับ ตรงนี้แยกมาจาก ดาลายลามะ แล้วนะครับ มีอายุนิกาย ราวๆ 700 ปี แต่วัดมีอายุประมาณ 450 ปี ส่วนเรื่องลึกๆ ไปหาศึกษากันต่อนะครับ แอดมินไม่ใช่สายพุทธะด้วยสิ
เมื่อฟ้าเปิด เราก็พร้อมเดินทางไปต่อครับ
ต่อมาในช่วงบ่าย เราก็เริ่มออกเดินทางระยะยาวอย่างจริงจังครับ โดยจุดหมายแรกคือ ภูเขาสุริยันจันทรา ซึ่งเป็นจุดแบ่งเส้นเขตแดนในสมัยโบราณนั่นเอง โดยระหว่างทางเราจะผ่านจุดสูงสุดบริเวณนี้คือ “หลาจี่ซาน-拉脊山” ซึ่งมีความสูงระดับน้ำทะเลสูงที่สุดนั่นเองครับ 3,900 เมตรโดยประมาณ
และประมาณ บ่าย 3 โมงก็จะเดินทางมาถึง ภูเขาสุริยันจันทรา ครับ
จุดสุดท้ายของวันนี้ ก็คือทะเลสาบชิงไห่ ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดบนประเทศจีนนะครับ ซึ่งน้ำนี้มีความเค็มจากธรรมชาติจริงๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ สันนิฐฐานว่า สมัยก่อนพื้นที่โซนนี้ ต้องเป็นมหาสุมทร แน่ๆเลยครับ
ถ้าเป็นหน้าหนาว พื้นทะเลสาบจะแข็งเป้ก เอารถไปวิ่งกันได้สบายๆ เลยนะครับ
โดยเราไปพักบริเวณทะเลสาบเกลือนะครับ
วันที่ 3 ของการเดินทาง วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของเกลือ ทั้งวันครับ ในตอนเช้าก็คือ “ทะเลสาบเกลือฉาข่า-茶卡盐湖” ตอนเย็นก็ทะเลสาบเกลือเขียวเฟ่ยฉุ่ย(แปลว่าเขียวนะจ๊ะ)-翡翠湖” ซึ่งทะเลสาบเกลือฉาข่า ในวันที่ไปนั้น ลมแรงหนาวๆสุดๆ เลยทำให้พื้นน้ำไม่นิ่ง เลยไม่สะท้อนเป็นกระจกเหมือนดั่งที่คาดไว้ ปล.ใครจะดูตอนลมไม่พัดหาดูรีวิวเก่าๆ ในเว็บนะครับ แต่ตอนนั้นยังถ่ายภาพได้กาก กว่าตอนนี้เยอะเลย ทะเลสาบเกลือ
ในช่วงบ่ายของวันที่ 3 เราก็จะเดินทางไปยัง “เมืองต้าไฉตั่น” บนพื้นที่ “ไฉต๋ามู่” ชื่อจะงงๆ ปล่อยผ่านไปนะครับ ซึ่งเป็นพื้นที่ไรมนุษย์ไร้อาศัยนะครับ แต่เมืองที่เราจะไปมีมนุษย์อาศัยนะครับ เมืองเล็กโครตๆ ซึ่งทะเลสาบเกลือเขียวเฟ่ยชุ่ย ก็อยู่บริเวณเมืองนี้นั่นละครับ
ในช่วง 18.30 น. เราก็จะถึงบริเวณ “ทะเลสาบเฟ่ยชุ่ยกัน ซึ่งในปี 2020 ทางการน่าจะจัดทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้เสร็จ ความรู้สึกเหมือนว่าเราจะเป็นพวกลักลอบเข้ามาเท่ียวกันเลยทีเดียว น่าจะเป็นคนไทยกลุ่มแรก หรือ แรกๆ เพราะสมัยก่อนยังเข้ามาไม่ได้นะครับ เป็นเขตควบคุม
ในวันที่ 4 ของการเดินทาง วันนี้ระยะทางร่วม 700 กม. ออกตั้งแต่ 7.00 น. ถึงที่พัก 22.00 น. เพราะว่าจะไปสถานที่ต้องการเพียงอย่างเดียว คุยกับคนขับรถอ้อนวอน จนเขายอมขับให้ โดยสถานที่ที่ใจอยากไปนั้นเรียกว่า “หย่าตันบนพื้นน้ำ” บนพื้นที่รกร้างที่เรียกว่า “อูซูเท่อ” ขนาดคนจีนยังไม่ค่อยรู้จักแผนที่ก็เพิ่งขึ้น เพราะปี 2019 นี้รัฐบาลจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีเจ้าหน้าที่ควบคุม จะไปพายเรือเล่นเหมือน 2 ปีก่อนไม่ได้แล้ว วัยรุ่นเซง จะเข้าต้องแสดงบัตรประชาชน เราก็เลยหยอกเจ้าหน้าที่เอาบัตรประชาชนไทยไปก่อนนะ ยังดีไม่โดนตบกบาล
ใครจะไปนึกได้ว่า บนพื้นที่รกร้างแห้งแล้งขนาดนี้จะมี พื้นที่มีบึงอยู่ด้วยละครับ และ หย่าตันคำนี้คือ ก้อนหิน หรือ ภูเขาที่โดนลมกัดกร่อนนะครับ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ก็ได้เวลาเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองกลางทะเลทราย “ตุนหวง” โดยช่วงบ่ายจะผ่าน หย่าตันปกติ ที่เรียกว่า “ปาเซียนหนาน” หรือ แปดเซียนใต้ ซึ่งเป็นหย่าตันที่ ทางการยังไม่เข้ามาดูแล ไปปีนป่ายได้นะครับ ตามใจเลย
และเราก็ผ่านพื้นที่มณฑลชิงไห่ เพื่อเข้าสู่ มณฑลกานซู่ กว่าจะถึงก็ดึกเลย ภาพบริเวณแนวเขารอยต่อไม่ได้เอามาลงนะครับ เรียกว่า “ตังจินซาน” ลองหาดูในรีวิวปีก่อนๆนะครับ มีเอาลงครับ ติดตามช่วงหลังบริเวณ มณฑลกานซู่ ได้ในช่วงต่อไปนะครับ