重庆 ฉงชิ่งเมืองนี้มีขนาดเล็ก แต่ความสำคัญอยู่ในระดับมณฑลเพราะว่า เมืองนี้เคยเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการหลักของพรรคคอมมิวนิสต์สมัยเหมาเจ๋อตุงนั่นเอง แต่ว่าเราแทบไม่ได้เที่ยวฉงชิ่งมากมายนะครับทริปนี้ เพราะเป็นทริปใจสั่งมาอันนี้เรื่องจริง
เริ่มต้นเช้าวันที่ 18 (วันเสาร์) พฤษภาคม นัดรวมเจอกันที่สนามบินดอนเมือง เดินทางไปสนามบิที่เจียงเป่ย(มั้ง) โดยสารการบินไทยแอร์เอเซีย เที่ยวบินอะไรจำไม่ได้ แต่เป็นไฟ้ล์เช้านะครับ กว่าเราจะไปถึงก็ประมาณ 10.30น. ได้ พอไปถึงก็นัดเจอคนขับรถของเราแต่ แอดก็มีอาการ งงๆ สนามบินใหม่ของพี่เขา ซึ่งที่จริงถ้าใช้สนามบินเดิมเล็กๆ ที่ติดกันกับบินในประเทศก็ว่าสบายใจกว่าเยอะ ตอนนี้สนามบินเบ้อเริ่ม มีท่ารถอยู่ข้างในครบวงจร โดยจุดมุ่งหมายแรกของเราก็คือ “เมืองเซียนหนี่ว-仙女镇” เมืองเล็กๆ ที่สภาพอากาศเย็นสบายเหมือนชื่อที่แปลว่าเทพสาวๆ นั่นเอง พอฝนตกหมอกก็ลง เมืองนี้เป็นที่ตั้งของหลุมฟ้านั่นเองครับ โดยวันแรกกว่าจะไปถึงก็บ่ายๆแล้ว ก็ตัดสินใจแวะทุ่งหญ้าของเมืองละกันครับ มองด้วยตาเปล่าสวยดีครับ แต่กล้องมือถือถ่ายออกมาแล้วจบข่าวเลย หมอกลงจัด
วันแรกก็เลยไม่ค่อยมีภาพนะจ๊ะ ส่วนคืนนี้เรานอนหน้าจุดขายตั๋วเลย พอวันที่สอง ณ ตอนเช้าหลังกินข้าวเสร็จ ก็ได้เวลาเดินเที่ยวกันยาวๆ เลยละครับ โดยปกติหลุมฟ้า คนจะเข้าใจว่าอยู่แค่หลุมฟ้าสะพานสวรรค์ แต่จริงๆ แล้วเมื่อมีหลุมฟ้า ก็ต้องมีรอยแยกของแผ่นดินตามมาสิครับ วันนี้ก็เหนื่อยหน่อย กลางวันไม่ได้แวะกินข้าว ก็ยาวไปครับ สองอุทยานกันยาวๆ ไปเลย
โดย ภาษาจีนจะเรียกว่า หลุมฟ้า 3 สะพาน โดยถ้ามองจากมุมบนจะมีลักษณะเหมือนสะพานพาดผ่านหลุมนี้ 3 เส้นด้วยกัน โดยจะเรียกว่า “สะพานมังกรฟ้า” “สะพานมังเขียว” และ “สะพานมังกรดำ”
มาในช่วงฝนตกก็สวยงามไปอีกแบบ แต่อาจต้องใช้มือถือถ่ายภาพ
ทีเร็ก-เล็กจริงๆ ตัวม่ายหย่าย
จุดต่อไปในช่วงบ่ายก็ลุยต่อกันยาวๆ
“รอยแยกแห่งแผ่นดิน”
“天坑地缝” เทียนเคิง ตี้เฟิง แปลตรงๆ ว่า หลุมฟ้า รอยแยกแผ่นดิน เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซียนหนี่ว แต่คนไทยเรียกรวมว่า “อู่หลง” นั่นละครับ ฉะนั้นมาหลุมฟ้า ก็ต้องไปรอยแยกด้วยถึงจะเรียกว่าครบครับผม แต่เดินกันขาลากเลย ปล.ค่าตั๋วก็จำไม่ได้แล้วฮะ บางทีก็มีโปรถูกๆ ก็มีครับผม
เปิดฉากก็ลงดิ่งดำดิ่งลงไปยาวๆ ลึกๆเลยนะครับ
ตลอดทางเป็นเส้นทางธารน้ำไหล กับ น้ำตก สลับไปมา เยอะมากๆ เปียกปอนไปหมด ว่าแล้วตัดจบไปเลย
กลับๆๆ ฉงชิ่งเหอะ
ฉงชิ่ง เป็นแค่จุดพักผ่อน ไว้รอเดินทางยาวต่อไปครับผม แต่ฉงชิ่งเป้าหมายของเรานั้นมีแค่ ร้านหนังสือเท่ๆ เรียกว่า “จงซูเก๋อ” ตั้งอยู่ที่บริเวณ “จตุรัสจงตี๋” นั่นเองครับ ย่านนี้ของกินอื้อเลย
ร้านจงซูเก๋อ สาขานี้เป็นสาขาฉงชิ่ง ครับ สาขาเฉิงตูก็สวยเหมือนกันนะครับ
ร้านหนังสือ “จงซูเก๋อ” สาขาฉงชิ่งนั้น เน้นการสะท้อนภาพด้วยกระจก เป็นจุดหลักครับ
ฉงชิ่งยามค่ำคืนกลางเมือง และวันถัดมาก็เตรียมตัวไปเมืองต้าจู๋
大足 เมืองต้าจู๋แห่งนี้เป็นสถานท่ี ที่มีหินแกะสลักจากผาหิน หลับไหลอยู่นับพันปี สถานที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจาก ฉงชิ่ง สักเท่าไหร่นัก โดยรายละเอียดหลักหาอ่านได้ในหน้าเว็บไซต์นะครับ : ผาหินแกะสลักต้าจู๋
โดยจุดที่เราจะไปวันนี้มี 2 จุดด้วยกัน โดยจุดแรกจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาเยือนกันเยอะ เรียกว่า “เป๋าติ่งซาน” ซึ่งสร้างขึ้นใน “สมัยราชวงค์ซ่ง” ประมาณ ค.ศ.ที่1200 จะเน้นความยิ่งใหญ่ บอกเล่าเรื่องราวผ่านผาหิน
ต่อไปก็จะเป็นงานชิ้นเอกของ “เป่าติ่งซาน” แห่งนี้แล้วครับ
โดยตามคำบอกเล่านั้น มีทั้งสิ้นอยู่ 1007 กร ด้วยกัน โดยจะมีสิ่งของอยู่บนมือเป็นคู่ๆ แต่ที่ไม่เข้าใจทำไม จำนวนกร ทั้งหมดไม่เป็นเลยคู่
จุดต่อไปในเมืองต้าจู๋ก็คือ “เป่ยหยาสือเค่อ” ผาหินแกะสลักทางทิศเหนือ ที่มีความเก่าแก่มากกว่าในอีกยุคสมัยนึง ซึ่งมีการก่อสร้างตั้งแต่ช่วงสมัย “ราชวงค์ถัง” ประมาณ ค.ศ. 800-900 และแบ่งห้องแกะสลักออกเป็นห้องๆ แบบถ้ำตุนหวง อันนี้เก่าและสวยครับ และ มีอีกหลายๆ ห้องที่ยังไม่เปิดให้เข้าชม ปกติไม่มีคนมาครับไม่มีใครพามา แต่เราไม่ปกติ!!!
โดนจุดเด่นบริเวณนี้ยังมี พระใหญ่ที่อยู่ใต้เจดีย์ มากันแบบเป็นคู่ๆ เลยครับ อย่างเท่!!!