新疆ซินเจียง หรือที่ชาวไทยรู้จักกันในนาม “ซินเจียงอุยกูร์” เป็นมณฑลที่เป็นเขตปกครองพิเศษ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ 95% นับถือศาสนาอิสลาม ฉะนั้นผู้ที่ต้องกินเนื้อหมูทุกวัน ไม่ต้องมาครับ เป็นสถานที่ที่มีครบทุกๆอย่างจริงๆ เพราะด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาล มีขนาดประมาณประเทศไทย 5 เท่าได้ จนมีคำกล่าวว่า “อยากรู้ว่าจีนนั้นพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน ก็ควรมาที่ซินเจียง” ซึ่งสมัยก่อนอาจมีปัญหาเรื่องความไม่สงบจาก ปัญหาชนเผ่า และ ศาสนา แต่ปัจจุบันนั้นมีการแก้ไขในทางที่ดีขึ้นมากมาย จนต่างชาติสามารถเข้าไปได้แล้ว ถึงแม้จะต้องตรวจสอบกันแบบหนักหน่วงกันสักหน่อยนะครับ ซึ่งการแก้ปัญหาของทางประเทศจีนนั้น มีหลักๆ อย่างไรค่อยไปอ่านกันในตอนสุดท้ายของบทความนะครับ ถ้าไม่ลืมเขียน
เกริ่นนำก่อน “ทะเลสาบคานาสือ” เป็นจุดหมายที่ตัวผมอยากจะเดินทางไปเยือนมานานแล้ว แต่เวลาว่างไม่ค่อยจะตรง หรือ มีเป้าหมายอื่นมาแทรกกลางตลอด จนในปี 2019 ก็ได้มีโอกาสจัดไปจนได้ครับ แต่ปัญหาก็พึงมีตลอด จากการบินตรง ไปและกลับ ก็โดนสายการบินเท ต้องเปลี่ยนวุ่นวายกะทันหัน แต่สมาชิกทุกคนก็ไม่บ่นนะจ๊ะ ก็เลยไม่ขอบ่นถึงสายการบินนะครับ เอาไปว่าไปถึงได้ละกันวะ ขาไปเดินทางกันร่วม 14 ชั่วโมงได้
ในตอนเย็น เรียกกว่าค่ำแล้วดีกว่า พวกเราก็ได้มาถึง “อูรูมูฉี” เมืองหลักของมณฑลซินเจียง คุณพี่แซ่หยาง คนขับรถพาเราเที่ยวตลอดทริปตามที่เขียนแพลนกันไว้ ก็มารับเราไปส่งยังโรงแรมที่ได้จองไว้ อุต๊ะ แม่เจ้าขนาดโรงแรมยังตรวจระเบิดตรวจกระเป๋า ทำไมไม่เรียนแบบ BTS MRT บ้านเรากันมั่งเนี่ย มาตรฐานบ้านเราฉับไว เปิดปุ๊ปผ่านปั้ป เครื่องอะไรก็ไม่ต้องมีนี่ละ มาตรฐานแบบไทยๆ ที่รวดเร็วฉับไว ตายค่อยว่ากันอีกที ก็เจอมาตรฐานแบบจีนๆ ตรวจละเอียดทุกวัน กันเลยนะครับ ในคืนนี้เราก็กินอาหารใกล้ๆ ที่พัก(ด้านข้าง)
ในเช้าวันที่ 15 กันยายน ศกนี้ เป้าหมายเราก็ยังเดินทางไม่ถึง คานาสือ นะครับ ค่อยๆ คืบคลานกันเข้าไป วันนี้เรามีจุดหมายคือ อุทยาน “เคอเคอทัวไห่-可可托海” ซึ่งเป็นภาษาคาซัคสถาน ซึ่งมีความหมายว่า “ป่าใหญ่สีเขียว” แต่หมู่บ้านเคอเคอทัวไห่ ที่เราเข้าพัก แต่เดิมจุดนี้เป็นจุดขุดแร่นะจ๊ะ วันแรก จาก อูรูมูฉี มุ่งหน้าสู่ หมู่บ้าน เคอเคอทัวไห่ นั้น มีระยะทางประมาณ 600 กม. ด้วยกันครับ นั่งกันเจ็บตูด
และอาหารในระหว่างทางก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว แพง ไม่มีหมู วัว แพะ ไก่ ผัก อาหารท้องถิ่นแปลกๆ แต่ผมไม่ได้มานะครับเสียใจด้วย
ในช่วงเช้า เรานั่งรถกันมาได้ กว่า 350 กม. เข้าไปแล้ว ในช่วงบ่ายก็เลยมีเวลาให้ทำอะไรชิวๆ เช่น ซื้อผลไม้ราคาแสนถูก เดินทอดน่องข้างทางก่อนเข้า สู่หมู่บ้านเคอเคอทัวไห่ สักพัก สองพัก สามพัก ได้ด้วยนะครับ
วัวขุ้ยถังขยะจร้าาาา!
และพอใกล้ถึง หมู่บ้านเคอเคอทัวไห่ แล้วก็จะมีจุดที่ชาวบ้านปลูกดอกไม้ ซึ่งถ้าเวลาเหลือโครตๆ จริงๆ ก็สามารถ ลงไปเดินทอดน่องดูเล่น ได้นะครับ
และในตอนเย็นๆ ก็เดินทางมาถึง หมู่บ้านเคอเคอทัวไห่
ซึ่งคืนนี้กินบาบีคิว กันครับ อุณหภูมิตอนกลางคืนนั้น หนาวมว้ากกก!
ในวันถัดมา วันที่ 16 กันยายน วันที่ 3 ของการเดินทาง ในช่วงเช้า เราคิดว่าเราแล้วนะ พอถึงหน้าอุทยาน เคอเคอทัวไห่ เราต้องตกใจมากๆ คนมันมาจากไหนเยอะขนาดนี้วะเนี้ย แล้วต้องต่อแถวซื้อบัตร 1 ชม ยืนยันตัวตนกับสถานีตำรวจอีก WTF!!! (เดือน 9 แถบนี้คนแห่กันมามากมายครับ) กว่าจะได้เข้าไปล่อไปเกือบเที่ยง
โดยอุทยาน เคอเคอทัวไห่ นั้น มีลักษณะ แปลกๆ คือเป็นอุทยานซ้อนอุทยานนะครับ แต่ว่ากลุ่มเราเวลาไม่พอ เลยได้อยู่แต่บริเวณอุทยานด้านนอก เท่านั้นเอง
ซึ่งกว่าจะถึงอุทยานด้านนอกนั้น รถอุทยานก็ใช้เวลาประมาณ 35 นาที แล้วครับ
โดยจุดชมวิว หรือ จุดเด่นของอุทยานด้านนอกนั้น ก็คือจะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ “ภูเขาระฆัง” นั่นเองครับ โดยทางเดินก็ข้ามสะพานแขวนอันแข็งแรง เข้าไปก่อน ตรงนี้ถ้าคนไม่รู้ว่ามีอุทยานซ้อนกัน ก็จบข่าวครับ วนกันแค่แถวนี้ เพราะเดินถึงด้านในสุดแล้ว ยังต้องนั่งรถเข้าไปอีก ยาวเกิ๊น…
ภูเขาระฆังในตำนาน!!!
คืออยากจะแนะนำว่าไม่ควรติดอยู่บริเวณนี้นานครับไม่อย่างนั้นถ้ามีแพลนเดินทางต่อ เวลาจะไม่ทันเอา
โดยจุดหมายวันนี้ คือเราต้องเดินทางถึงเมือง “ปู้เอ่อจิน” กัน เพราะพรุ่งนี้เราจะเข้า คานาสือ ครับ จึงทำให้ไม่มีเวลาเข้าไปจนถึงด้านในสุด ในตอนขากลับออกมา เราจึงทำได้แต่แวะ จุดชมวิว “เคอเคอซูหลี่-可可苏里” ฆ่าเวลาเล่นๆ กันไปครับ โดย เคอเคอซูหลี่ก็จะเป็น บึงต้นกก นั่นละครับ
กลัวคนไม่รู้ ต้องมีป้ายชื่อสถานที่ครับ
เจอ เป็ด หัน หน้า มา มอง ใส่
โดยวันนี้กว่าเราจะถึง “ปู้เอ่อจิน” ก็ปาเข้าไป 21.00 น. เมืองนี้จะมีตลาดกลางคืนด้วยนะครับ แต่ด้วยความอ่อนล้า ปน ขี้เกียจ จึงไม่ได้แบกกล้องไปถ่ายรูปครับ ตัดจบวันนี้แบบดื้อๆ ไปเลยละครับ รูปในมือถือก็เกียจคร้านเกินจะนำออกมาจ๊ะ