คลื่นความร้อนที่ทำให้เสียชีวิต
|
คลื่นความร้อนของฤดูร้อนปีที่แล้วเป็นเหตุให้มีความเสียหายครั้งใหญ่ แม้โลกจะได้รับบทเรียน จากคลื่นความร้อนที่ทำให้เสียชีวิตที่เข้าโจมตียุโรปในปี 2546 และชิคาโกในปี 2538 ก่อนหน้านี้มาแล้วก็ตาม คลื่นความร้อนในปี 2549 ที่เกิดในสหรัฐเป็นหนึ่งในความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ไม่เพียงเพราะความรุนแรงของมันแต่ยังเพราะความครอบคลุมและความยาวนานของมัน คลื่นความร้อนดังกล่าวคงอยู่เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนและกวาดข้ามไปอีกฝั่งกินพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ โดยทุบสถิติอุณหภูมิสูงสุดหรือเกือบสูงสุดตั้งแต่แคลิฟอร์เนียซึ่งอยู่ทางตอนใต้ไปจนถึงชายฝั่ง ทางตะวันออก คนนับร้อยๆ คนต้องเสียชีวิต พืชผลการเกษตรเหี่ยวเฉา ไฟป่าลุกลาม ถนน พังเสียหาย และ ระบบไฟฟ้าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจ่ายพลังงานให้แก่ลูกค้าที่ร้อนระอุ คนหลายหมื่นคนที่อาศัยในนิวยอร์กไม่มีไฟใช้เป็นมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ โลกร้อนเปิดโอกาสให้ “ฆาตกร” อย่างคลื่นความร้อนลงมือได้มากเป็นสองเท่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งเสริมอิทธิพลของคลื่นความร้อนในปี 2549 อย่างไร? เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะบังคับให้โลกมีสภาพภูมิอากาศเพียงแบบเดียวในขณะที่โลกร้อนขึ้น เนื่องจากการแกว่งตัวของสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แบบจำลองสภาพภูมิอากาศทำนายถึงแนวโน้มของสภาพภูมิอากาศที่โหดร้ายยิ่งขึ้น โลกร้อนผลักดันให้หน้าของลูกเต๋าไปออกที่ “คลื่นความร้อน” หรือ “พายุฝนรุนแรง” บ่อยขึ้นกว่า “วันที่อากาศอบอุ่น” หรือ “ฝนเบา” (สต็อต อื่นๆ) ชิคาโก ปี 2541 : ตัวอย่างชีวิตในโลกที่ร้อนขึ้น ในเดือนกรกฎาคม 2538 ลูกเต๋าสภาพแวดล้อมสำหรับชิคาโกออกหน้า “คลื่นความร้อน” สำหรับพอลลีน จังโควิทซ์ หญิงชราคนหนึ่ง การขยายตัวของความร้อนมีผลต่อชีวิตเธออย่างมาก จากคำบอกในรายงานที่น่าสนใจของเอริก ไคลเนนเบิร์ก, คลื่นความร้อน : การตรวจสอบทางสังคมเกี่ยวกับภัยพิบัติในชิคาโก ด้วยคำแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง จังโควิทซ์เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของเธอใหม่ เธอออกไปนอกอพาร์ตเมนต์ขณะที่อากาศร้อนจนแทบทนไม่ได้ นั่งรถบัสปรับอากาศไปที่ตลาดติดแอร์ และชอปปิ้งจนกระทั่งเธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อเธอเล่าให้ ไคลเนนเบิร์กฟัง ตอนนั้นเดือนกรกฎาคมเป็น “ระยะที่ฉันเข้าใกล้ความตายที่สุด” สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาคงเข้าใกล้มากเกินไป มีคนเสียชีวิต 739 ราย การทะยานขึ้นสูงของอุณหภูมิในชิคาโกเริ่มต้นในวันที่ 13 กรกฎาคมเมื่ออุณหภูมิทะลุสถิติที่ 106 องศาฟาเรนไฮต์ ปรอทไม่เคยลดลงต่ำกว่า 90 องศาฟาเรนไฮต์นาน 5 วัน ตลอด 5 วันนั้น เครื่องมือคร่าชีวิตที่ผสานระหว่างความชื้นสูงและอุณหภูมิในยามค่ำคืนที่ร้อนระอุ ไม่ให้หรือแทบไม่ให้หนทางที่จะหลบหนีจากความร้อนเลย ประชากรที่อ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุและคนมีรายได้น้อยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ ขณะที่จังโควิทซ์สามารถทำให้ตัวเธอยังเย็นอยู่ได้ในบ้านด้วยผ้าขนหนูเปียกๆ พัดลมและเครื่องปรับอากาศเก่าๆ จวนพัง มีบ้านเรือนอีก 49000 หลังต้องไร้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ (ไคลเนนเบิร์ก) ภายหลังศูนย์ควบคุมโรคสรุปว่าเครื่องปรับอากาศอาจช่วยชีวิตคนได้เป็นร้อยๆ คน ห้องดับจิตแน่นทะลัก และต้องมีการนำรถห้องเย็นแช่เนื้อขนาด 48 ฟุตเพื่อเก็บรักษาศพแทน (เซเมนซ่า อื่นๆ) คนที่จำเป็นต้องรับการรักษามักมาถึงช้าเกินไป หลังจากการอ่อนเปลี้ยเนื่องจากความร้อนหรืออาการลมแดดเกิดขึ้น ภายในวันที่สอง ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็แน่นขนัดไปหมด รถพยาบาลต้องขับวนไปรอบๆ เพราะห้องฉุกเฉินเต็มทุกแห่ง โรงพยาบาลประมาณ 23 แห่งต้องทำการ “บอกปัด” ผู้ป่วย ซึ่งหมายถึงประตูโรงพยาบาลเหล่านี้ปิดรับผู้ป่วยใหม่ คลื่นความร้อนของฤดูร้อนปีที่แล้วเป็นเหตุให้มีความเสียหายครั้งใหญ่ แม้โลกจะได้รับบทเรียน จากคลื่นความร้อนที่ทำให้เสียชีวิตที่เข้าโจมตียุโรปในปี 2546 และชิคาโกในปี 2538 ก่อนหน้านี้มาแล้วก็ตาม ชิคาโก 2542 : บทเรียนที่ได้เรียนรู้ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ปี 2542 อีกวันเกรียมๆ ที่มาเยือนชิคาโก จากบทเรียนในปี 2538 ระบบสาธารณสุขและฉุกเฉินของเมืองวินดี้จึงสามารถรับมือได้ดีกว่ามาก มีคนตายเพราะความร้อน 103 รายซึ่งน้อยกว่าโศกนาฏกรรมในปี 2538 มาก แต่ผู้พักอาศัยที่สูญหายนับเป็นโหลๆ ในเหตุฉุกเฉินเนื่องจากความร้อนยังเป็นตัวเลขที่ไม่สามารถยอมรับได้ และหากแม้อุณหภูมิที่ร้อนกว่านี้เกิดขึ้นในอนาคต คาดได้ว่าว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจะต้องสูงกว่านี้แน่นอน โชคไม่ดีเลย ที่ชิคาโกเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้นจากคลื่นความร้อนเท่านั้น คลื่นความร้อนได้แผดเผาส่วนอื่นๆของสหรัฐในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาโดยมีผลลัพธ์คือการเสียชีวิตของผู้คน คลื่นความร้อนในปี 2523 ถูกอ้างว่าเป็นต้นเหตุของการคร่าชีวิตคนจำนวน 1,700 รายที่อาศัยทางตะวันออกและตะวันตกกลาง ในปี 2531 คลื่นความร้อนที่เกิดใน ตะวันออก/ตะวันตกกลางอีกลูกหนึ่งสังหารคนจำนวน 454 ราย คลื่นความร้อนปี 2538 คร่าชีวิตคนในฟิลาเดเฟีย มิลวอกกี้ และเซนต์หลุยส์ นอกเหนือจากการสูญเสียในชิคาโก และในปี 2541 มีคนมากกว่า 120 รายในเทกซัสต้องจบชีวิตเพราะคลื่นความร้อน ยุโรป ปี 2546 : คลื่นความร้อนสังหารที่รุนแรงที่สุด คลื่นความร้อนที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในจารึกประวัติศาสตร์เกิดขึ้นที่ยุโรปในปี 2546 ซึ่งเป็นฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดของยุโรปในรอบห้าศตวรรษ อุณหภูมิที่สูงจนทำลายสถิติในหลายๆ ประเทศ อุณหภูมิสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เมื่อเทอร์โมมิเตอร์ในเกรฟเซนด์-บรอดเนสขึ้นถึง 100.6 องศาฟาเรนไฮต์ ในเยอรมนี สถิติตลอดกาลของอุณหภูมิ 104.4 องศาฟาเรนไฮต์เกิดขึ้นในวันที่ 8 สิงหาคม ปีดังกล่าว อุณหภูมิที่ร้อนแรงนำไปสู่การสูญเสียชีวิตที่น่าเศร้าสลด คนมากถึง 27,000 คนต้องตายเพราะความร้อนที่คงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำลายทุกสถิติของการเสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากความร้อน ลำพังในฝรั่งเศสเอง ซึ่งโรงพยาบาลก็ต้านไม่ไหว มีคนที่ต้องเสียชีวิตมากกว่า 14,000 คน ผู้รอดชีวิตจากความร้อนรุนแรงดังกล่าวประสบกับความทรมานเช่นกัน การเสียน้ำ การเป็นลมแดด และไข้กลายเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป ระยะต่อไปของการช็อกจะเป็นอาการที่ยากต่อการรักษา ผู้ป่วยบางรายสมองได้รับความเสียหายอย่างแก้ไขไม่ได้จากการมีไข้สูง ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ถีบตัวสูงขึ้น คลื่นความร้อนดูดเงินจำนวน 45 ล้านเหรียญสำหรับผู้สูงอายุและโรงพยาบาลจากรัฐบาลฝรั่งเศสทันที และทำให้สำนักงานสาธารณสุขของฝรั่งเศสต้องใช้จ่ายเงินด้านสุขภาพของคนฝรั่งเศสสูงถึง 6.8 พันล้านเหรียญตลอดระยะเวลา 5 ปีดังกล่าว คลื่นความร้อนเกิดได้ตลอดเวลา แต่เมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้นก็คาดได้ว่าคลื่นความร้อนจะมาเยือนเราบ่อยขึ้น ที่มา : https://liveearth.th.msn.com |